ประชาชนติดตามชมการแถลงข่าวของคณะทำงานตรวจสอบการพิจารณาการสั่งคดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา (ชุดของอัยการ ที่มี นายสมศักดิ์ ติยะวานิช รองอัยการสูงสุด เป็นประธาน) ตั้งแต่ต้นจนจบ หลายคนส่ายหน้า
ว่างๆ อัยการลองไปอ่านความคิดเห็นของคนดูในระหว่างแถลงสด อาจจะหน้าชา
แต่เอาเถอะ อย่างน้อยหนึ่งคนที่น่าจะพึงพอใจมาก ถึงมากที่สุด
คือ นายเนตร นาคสุข รองอัยการสูงสุด ผู้สั่งไม่ฟ้องในคดีอื้อฉาว
1. ตลอดเวลาในการแถลง คณะทำงานอัยการฯ พยายามมากที่จะเน้นย้ำว่าอัยการผู้สั่งไม่ฟ้อง นายเนตร นาคสุข นั้น พิจารณาวินิจฉัยตามพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน ไม่ได้อยู่นอกเหนือสำนวน ความเร็วของรถนายบอสในสำนวนนั้น ไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลย ฯลฯ
“คณะทำงานฯ จึงเห็นว่า สิ่งที่นายเนตร หยิบมาวินิจฉัย เป็นพยานหลักฐานในสำนวน ไม่ได้อยู่นอกเหนือสำนวน การพิจารณาคดีของพนักงานอัยการต้องว่ากันตามพยานหลักฐาน เพราะมีทั้งพยานชุดเก่าและชุดใหม่ นี่คือที่มาที่ไปที่นายเนตรมีคำสั่งไม่ฟ้อง และส่งเรื่องให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)ในเวลาต่อมา” นายประยุทธ เพชรคุณ โฆษกฯ กล่าว
2. ถ้อยแถลงข้างต้นนั้น ฟังเผินๆ เหมือนจะใช่
แต่ท่านอัยการ อย่าพูดข้างเดียวเช่นนั้นสิ
ถามว่า ใครล่ะสั่งพนักงานสอบสวนสอบพยานหลักฐานเพิ่มเติมถ้าไม่ใช่อัยการ
แล้วอัยการไม่สงสัยบ้างเลยหรือ เมื่อมีการเปลี่ยนคำให้การเรื่องความเร็ว ซึ่งอัยการให้น้ำหนักมากเป็นพิเศษเพื่อจะดูว่านายบอสขับรถโดยประมาทหรือไม่ ทำไมอัยการไม่สั่งสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อหาหลักฐานข้อเท็จจริงในประเด็นนี้บ้างล่ะ แต่กลับมีการสอบสวนเพิ่มเติมพยานปากเอก 2 ปาก เข้ามายืนยันความเร็วของรถนายบอสว่าไม่เกิน 80 กม./ชม.
เมื่อมีข้อพิรุธความเร็วเปลี่ยนไป อัยการจะไม่ฉุกใจคิดเลยหรือ ไม่คิดอยากจะให้พนักงานสอบสวนหาข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนกว่าการฟังและเชื่อคำยืนยันจากพยานปากเอก 2 ปาก ที่อ้างว่าอยู่ในเหตุการณ์ แต่ไม่เคยยืนยันเรื่องความเร็วของรถเลย จนเวลาผ่านไป 7 ปี เพิ่งจะให้การเพิ่มเติมยืนยันความเร็ว (ความจำดีมาก) แถมพยานรายหนึ่งยังเป็นเพื่อนกับแม่ของนายบอส
ทำไมอัยการไม่แสวงหาข้อเท็จจริงประเด็นความเร็วให้ชัดเจน ผ่านหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์อื่นๆ เช่น กล้องวงจรปิด หรือสั่งสอบพยานปากผู้เชี่ยวชาญรายอื่นๆ อาทิ ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้เข้าไปร่วมตรวจที่เกิดเหตุ และดูกล้องวงจรปิด วัตถุพยานที่บันทึกภาพรถของนายวรยุทธ พร้อมคำนวณความเร็วรถที่แล่นไป ได้ทำรายงานส่งไปยังกองพิสูจน์หลักฐานเพื่อประกอบคดี พบว่า รถแล่นไปด้วยความเร็วประมาณ 170 กม./ชม.
อัยการจะไม่รู้เชียวหรือ ว่าใครที่เข้าถึงที่เกิดเหตุตอนนั้น แล้วมีข้อมูลเรื่องความเร็วของรถ ไม่เฉลียวใจเลยหรือ แต่เลือกที่จะเชื่อพยานปากที่ไม่ได้ไปตรวจที่เกิดเหตุเลย ที่ให้การว่าความเร็ว 70 กม./ชม. โดยไม่สั่งพนักงานสอบสวนสอบเพิ่มเติมในเรื่องนี้
เพราะเหตุนี้แหละ คนไทยไม่ได้กินหญ้า
ชาวบ้านถึงฟังไป บ่นไป ด่าไปส่ายหัวไป
3. สุดท้าย คณะทำงานฯ ชุดนี้ มีข้อเสนอแนะนำเรียน อสส. ว่า
(1) ผลการตรวจเลือดในวันเกิดเหตุของนายวรยุทธ พบสารแปลกปลอมประเภทโคเคน จึงถือว่าผู้ต้องหาน่าจะกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 58 ประกอบกับมาตรา 91 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุก 6 เดือนถึง 3 ปี โดยมีอายุความตามกฎหมาย 10 ปี โดยข้อหานี้ยังไม่มีการแจ้งความดำนินคดีกับนายวรยุทธ ดังนั้น คณะทำงานจึงเสนอ อสส. แจ้งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีนายวรยุทธในข้อหานี้ด้วย โดยคดียังไม่ขาดอายุความ
(2) ในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แม้พนักงานอัยการจะมีคำสั่งไม่ฟ้องนายวรยุทธ และ ผบ.ตร. ไม่แย้งคำสั่งดังกล่าว อันเป็นผลให้คำสั่งไม่ฟ้องเสร็จเด็ดขาดตามกฎหมาย และห้ามมิให้ทำการสอบสวนอีกก็ตาม แต่คดียังไม่ถึงที่สุด โดยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 147 ระบุว่า หากมีการสั่งไม่ฟ้องเด็ดขาด ไม่ให้สอบสวนคดีนี้อีก เว้นแต่ปรากฏพยานหลักฐานใหม่ และเป็นพยานหลักฐานสำคัญที่สามารถนำสืบให้ศาลลงโทษผู้นั้นได้ สามารถดำเนินการได้ตามหลักกฎหมาย นั่นก็คือพยานปาก ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ ขณะเกิดเหตุเป็นที่ปรึกษาด้านวิชาการให้กับกองพิสูจน์หลักฐานกลาง ได้ไปร่วมตรวจที่เกิดเหตุดูกล้องวงจรปิด วัตถุพยานที่บันทึกภาพรถของนายวรยุทธ พร้อมคำนวณความเร็วรถที่แล่นไป ได้ทำรายงานส่งไปยังกองพิสูจน์หลักฐานเพื่อประกอบคดี พบว่าความเร็ว 170 กม./ชม. แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวกลับไม่ปรากฏในสำนวน อันนี้ คือ หลักฐานใหม่
(3) นายอิทธิพร แก้วทิพย์ หนึ่งในคณะทำงานที่แถลงด้วย ระบุว่า คณะทำงานฯไม่มีอำนาจพิจารณาเรื่องตัวบุคคล แต่พิจารณาได้เฉพาะสำนวน คณะทำงานฯจึงมีความเห็นเสนอไปยัง อสส. ด้วยว่า ให้ดำเนินการพิจารณาประเด็นนี้ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ พ.ศ.2553 ว่าการดำเนินการของตัวบุคคลมีความถูกต้องหรือไม่ น่าจะเป็นอีกประเด็นที่สำนักงาน อสส. ต้องดำเนินการ
4. สุดท้าย กรณีความเร็วของรถนายบอส ขอให้กลับไปอ่านบทความของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกฯ เรื่อง “ยุติธรรมค้ำจุนชาติ : ความเร็ว กับ ความผิด” (เมื่อวานนี้ได้สรุปลงในคอลัมน์นี้ด้วยแล้ว) ชี้ชัดว่าต่อให้ขับไม่เร็วก็อาจผิดฐานขับประมาทให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายได้อย่างไร
ส่วนผู้ที่สงสัยว่า “เฟอร์รารีคันนั้นวิ่งแค่ 76 กม./ชม. จริงหรือ?” แนะนำให้อ่านข้อเขียน ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ ได้นำเสนออย่างน่าสนใจ และอธิบายเปรียบเทียบวิธีคำนวณของดร.สธนด้วย บางตอน เช่น
“....สูตรการคำนวณความเร็วมีเพียงสูตรเดียวเท่านั้น แต่ทำไมผลลัพธ์ของอาจารย์ 2 ท่าน จึงต่างกันมาก ของใครถูก? มาช่วยกันค้นหาคำตอบ
อาจารย์ที่เกี่ยวข้องกับคดีอื้อฉาวในฐานะเป็นผู้คำนวณความเร็วของรถเฟอร์รารีมี 2 ท่าน คือ ดร.สธน วิจารณ์วรรณลักษณ์ อาจารย์ประจำภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ รศ.ดร.สายประสิทธิ์ เกิดนิยม อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมการประเมินและความปลอดภัยยานยนต์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ทั้ง 2 ท่านใช้สูตรเดียวกันดังนี้
ความเร็ว = ระยะทาง/ระยะเวลา
แต่ระยะทางและระยะเวลา ที่ทั้ง 2 ท่านใช้ในการคำนวณนั้นไม่เท่ากัน ทำให้ความเร็วที่คำนวณได้ไม่เท่ากัน กล่าวคือ ดร.สธน คำนวณความเร็วได้ 177 กม./ชม.ในขณะที่ รศ.ดร.สายประสิทธิ์ คำนวณได้ 76 กม./ชม. ซึ่งต่างกันมาก
อาจารย์แต่ละท่านวัดระยะทางและระยะเวลาแตกต่างกันดังนี้
1. ดร.สธน
1.1 ระยะทาง : ดร.สธน วัดระยะทางจริงบนถนนที่เกิดอุบัติเหตุจากจุดที่รถโผล่เข้าจอภาพจนหายออกไปจากจอภาพได้ 31 เมตร
1.2 ระยะเวลา : ดร.สธน วัดระยะเวลาโดยนับจำนวนเฟรมที่รถโผล่เข้าในจอภาพจนหายออกไปจากจอภาพ แล้วเปลี่ยนเป็นระยะเวลา ได้ระยะเวลา 0.63 วินาที โดยคำนวณจากจำนวนเฟรมที่นับได้หารด้วยค่าความเร็วในการบันทึกภาพของกล้องวงจรปิด (Frame Per Second หรือ FPS) ซึ่ง ดร.สธน พบว่า FPS มีค่าเท่ากับ 25 เฟรม/วินาที
1.3 ความเร็ว : คำนวณความเร็วได้เท่ากับ 31/0.63 = 49.21 เมตร/วินาที หรือเท่ากับ 177 กม./ชม.
2. รศ.ดร.สายประสิทธิ์
2.1 ระยะทาง : รศ.ดร.สายประสิทธิ์ ใช้ความยาวของรถแทนระยะทางบนถนน โดยวัดความยาวของรถตามเส้นทแยงมุมได้ 5.281 เมตร เหตุที่ใช้ความยาวตามเส้นทแยงไม่ใช้ความยาวในแนวตรงก็เพราะเห็นว่าภาพจากกล้องวงจรปิดอยู่ในแนวเฉียง
2.2 ระยะเวลา : รศ.ดร.สายประสิทธิ์ วัดระยะเวลาโดยนับจำนวนเฟรมเช่นเดียวกับ ดร.สธน แต่เป็นจำนวนเฟรมที่นับตามความยาวเส้นทแยงแล้วเปลี่ยนเป็นเวลา ซึ่งได้ 2 ค่า คือ 0.24 วินาที และ 0.26 วินาที หรือค่าเฉลี่ย 0.25 วินาที
2.3 ความเร็ว : คำนวณความเร็วได้เท่ากับ 5.281/0.25 = 21.12 เมตร/วินาที หรือเท่ากับ 76 กม./ชม.
3.. ข้อสังเกต : ผมมีข้อสังเกตต่อการคำนวณความเร็วของ รศ.ดร.สายประสิทธิ์“...เหตุที่ รศ.ดร.สายประสิทธิ์ คำนวณความเร็วของรถได้ต่ำกว่า ดร.สธนมากนั้น อาจเกิดจาก การนับจำนวนเฟรมตามความยาวเส้นทแยงได้ค่ามากเกินไป หรือการใช้ค่าความเร็วในการบันทึกภาพของกล้องวงจรปิด (FPS) ต่ำกว่าความเป็นจริงจากปัจจัยทั้ง 2 ประการดังกล่าว ทำให้ระยะเวลาที่คำนวณได้สูงกว่าความเป็นจริง ซึ่งส่งผลให้ความเร็วของรถที่คำนวณตามสูตร (ความเร็ว = ระยะทาง/ระยะเวลา) “ต่ำลง” ไม่ตรงกับความเป็นจริง...”
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี