ขอบอกไว้ ณ ตรงนี้เลยว่า มนุษยโลกจำนวนมาก (หลายสิบล้านคน) จะต้องเผชิญกับปัญหาไร้งานทำในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างที่มนุษย์ยังไม่สามารถแก้วิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019(COVID-19) ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และคาดการณ์ว่าปัญหาการไร้งานทำในครั้งนี้จะหนักหน่วงยิ่งกว่าช่วงที่โลกของเราเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำเมื่อปี ค.ศ. 2008 (Great Depression the Global Financial Crisis) และเมื่อมนุษย์ต้องเผชิญกับปัญหาไร้งานทำ ก็จะนำไปสู่ปัญหาอื่นๆ ตามมาเช่น ความยากจน และความไม่เท่าเทียมกันในสังคม
ดังนั้น สิ่งสำคัญที่ทั้งรัฐบาลและประชาชนทุกคนต้องตระหนักให้มากในเวลานี้คือ ต้องทำอย่างไรจึงจะสามารถแก้ปัญหาการว่างงานภายในประเทศของตนเองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะเราต้องไม่ลืมความจริงข้อหนึ่งที่ว่า ปัญหาที่จะเกิดต่อเนื่องจากวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 คือธุรกิจจำนวนมากต้องปิดตัวลง โดยเฉพาะธุรกิจด้านการท่องเที่ยว ธุรกิจสายการบิน ธุรกิจเกี่ยวกับการเดินทาง การบริการ โรงแรม ภัตตาคาร และธุรกิจด้านสปา เป็นต้น
แล้วถึงแม้ คนจำนวนหนึ่งอาจจะยังไม่ประสบปัญหาการไร้งานทำอย่างสิ้นเชิง แต่ก็จะต้องเผชิญกับปัญหาการถูกลดชั่วโมงการทำงานลงอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งOECD คาดการณ์ว่าอาจจะต้องมีการลดชั่วโมงการทำงานลดลงอย่างน้อยร้อยละ 15 ของเวลาทำงานทั้งหมด ส่วนตัวเลขคนว่างงานก็อาจจะเพิ่มสูงขึ้นอีกในปี ค.ศ. 2021 โดยคาดการณ์ว่าในกลุ่มประเทศ OECD จะประสบปัญหาการว่างงานประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงปลายปี ค.ศ. 2020 แต่ถ้าหากเกิดการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกสอง ก็จะส่งผลให้ตัวเลขการว่างงานเพิ่มเป็นร้อยละ 12-13 แล้วโอกาสที่ปัญหาการว่างงานจะคลี่คลายลงไปก็น่าจะล่วงเลยปี ค.ศ. 2021 ไปแล้ว ซึ่งก็หมายความว่าตลอดปี 2021 นั้น ปัญหาการว่างงานจะยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมโลก
มีการคาดการณ์ด้วยว่าผู้ที่จบการศึกษาใหม่จำนวนมากอาจจะประสบปัญหาการไร้งานทำมากเป็นอันดับต้นของสังคม แล้วคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษคือกลุ่มแรงงานสตรี เพราะมีแนวโน้มจะหางานทำได้ยากมาก ดังนั้นหากคนกลุ่มนี้ต้องกลายเป็นผู้ไร้งานทำเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว ก็หมายความว่าคนกลุ่มนี้จะกลายเป็นผู้ที่ต้องเผชิญกับปัญหาความยากจนที่จะตามมาโดยไม่ต้องสงสัย
สำหรับในประเทศไทยนั้น ก็คงไม่สามารถหนีพ้นปัญหาประชาชนจำนวนหนึ่งต้องตกอยู่ในสภาพไร้งานทำ ในยุคที่เชื้อไวรัสโควิด-19 ยังคงแพร่ระบาดอยู่เช่นทุกวันนี้ ซึ่งปัญหานี้ต้องได้รับการแก้ไขโดยรัฐบาลเป็นอันดับต้น ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องวางแผนแก้ปัญหานี้ด้วยการสร้างงานขึ้นมาเพื่อรองรับคนที่อยู่ในข่ายผู้ว่างงาน โดยจะต้องสามารถจำแนกแยกแยะได้ว่าคนกลุ่มไหนต้องได้รับการแก้ปัญหาก่อนเป็นอันดับแรก เพราะรัฐบาลคงไม่สามารถแก้ปัญหาให้กับคนทุกคนได้ในเวลาเดียวกันอย่างแน่นอน แต่คำถามก็คือ แล้วรัฐบาลไทยมีนโยบายแก้ปัญหานี้แล้วหรือยัง แล้วนโยบายที่ว่านั้นจะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรมมากน้อยเพียงใด
ส่วนคนไทย โดยเฉพาะเด็กไทยกลุ่มหนึ่งที่ยังคงพยายามก่อการประท้วงด้วยเรื่องที่หลายคนหาได้มองว่าเป็นเรื่องสำคัญกับสังคมไม่ ก็ควรจะต้องมีความสำเหนียกให้มากว่า ทุกวันนี้ตนเองมีความรู้ความสามารถมากพอที่จะแข่งขันกับผู้อื่น เพื่อให้ตนเองมีงานมีการทำได้หรือไม่ แต่ถ้าหากเด็กไทยกลุ่มนั้นยังคงหลงระเริงกับการป่าวประกาศตะโกนร้องให้แก้ปัญหาเรื่องทรงผมนักเรียน เรื่องเครื่องแบบนักเรียน เรื่องการเข้าแถวหน้าเสาธง เรื่องกระเป๋านักเรียน และเรื่องไม่เป็นเรื่องอีกต่อไป ก็ไม่ต้องมาตะโกนร้องขอความช่วยเหลือในวันที่ตนเองต้องกลายเป็นคนตกงาน แล้วก็ไม่ต้องผลักความรับผิดชอบให้คนอื่นด้วยการกล่าวหาว่าคนอื่นคือต้นเหตุของปัญหาการว่างงาน เพราะถ้าหากตนเองไม่เตรียมตัวสำหรับการเป็นแรงงานที่มีคุณภาพตั้งแต่บัดนี้ ก็อย่าหวังจะได้งานทำในอนาคต แล้วก็หวังว่า เมื่อต้องกลายเป็นคนตกงานจริงๆ ก็จะไม่ลุกขึ้นมาทำลายความสงบของสังคมด้วยการประท้วงแบบไร้ปัญญา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี