การแพร่ระบาดของโคขวิดเกิดขึ้นต่อเนื่องมาเป็นเวลา 9 เดือนแล้ว ตลอดห้วงเวลาดังกล่าวมีการปั่นกระแสให้เกิดความตกใจกลัวถึงความอันตรายร้ายแรงของโคขวิด มีการปั่นกระแสข่าวกันเป็นรายวันนานัปการจนทำลายเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ทั่วโลกพินาศย่อยยับ
ตอนเริ่มต้นก็ป่าวประกาศให้คนทั้งหลายหลงเชื่อว่าโคขวิดเป็นโรคระบาดร้ายแรง จะมีผู้ป่วยถึง 650 ล้านคนและจะมีผู้เสียชีวิตถึง 250 ล้านคนภายในปี 2563
แม้ในประเทศไทยเองก็อาจจะรับเป้าหรือภารกิจในการปั่นกระแสเรื่องนี้ จึงมีการปั่นกระแสมาตั้งแต่ต้นว่าภายในเดือนเมษายน 2563 จะมีผู้ป่วย 350,000 คน และจะมีผู้เสียชีวิต 25,000 คน ทำให้ตื่นตระหนกตกใจกันทั้งบ้านทั้งเมือง และเป็นเหตุให้มีการใช้จ่ายงบประมาณกันไม่รู้เท่าใด โดยไม่อาจตรวจสอบได้ และภาคธุรกิจทั้งประเทศพังพินาศยับเยิน
บัดนี้เวลาผ่านมา 9 เดือนแล้ว ความจริงได้บอกแก่ชาวโลกโดยไม่อาจโต้แย้งว่า 9 เดือนที่ผ่านมาในท่ามกลางการปั่นกระแสข่าวครึกโครมทั่วโลกนั้นมีผู้ป่วยรวมทั้งสิ้นแค่ 26 ล้านคน มีผู้เสียชีวิตยังไม่ถึง1 ล้านคน และแน่ชัดว่าในเวลาสิ้นปี 2563 นี้ ที่ตั้งเป้าหมายกันไว้คงจะผิดเป้ามหาศาล คือไม่มีทางที่จะมีผู้ป่วยถึง 650 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิต 250 ล้านคน อย่างแน่นอน
และถ้าเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่าการแพร่ระบาดและอันตรายของโคขวิดไม่ได้ต่างอันใดกับไข้หวัดใหญ่ ซึ่งถึงวันนี้ก็ไม่มีใครกลัวเกรงและเพราะรู้และเข้าใจเป็นอย่างดีว่าไข้หวัดใหญ่นั้นรักษาให้หายได้อย่างมากก็ไม่เกิน 7 วัน แต่สำหรับคนไทยก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา หาได้มีผู้ใดยำเกรงไม่
สำหรับประเทศไทย 9 เดือนผ่านไปแล้ว ล่วงพ้นวันที่ 30 เมษายน 2563 มาช้านานแล้ว มีผู้ป่วยสูงสุดที่ระดับ 3,500 คน ในจำนวนนี้เป็นผู้ป่วยที่อิมพอร์ตเข้ามาจากต่างประเทศนับพันคน ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่าผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่หรือท้องร่วงมากมายหลายเท่านัก
ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตเพียง 58 คน เป็นการเสียชีวิตในระยะเริ่มต้นที่ยังไม่รู้ว่าจะรักษาโรคระบาดนี้อย่างไร จึงปล่อยไปตามอาการ กว่าจะลงมือให้ยารักษาก็เข้าวันที่ 40 แล้ว ครั้นพอถึงวันที่ 45 ไวรัสจะขยายเกาะกินปอดจนหายใจไม่ออก และจะเสียชีวิตในช่วงเวลาวันที่ 50-55
มีบ้างที่เสียชีวิตในระยะ 3 วันแรก เพราะไม่ทราบว่าโคขวิดนั้นเมื่อติดเชื้อแล้วจะส่งผลกระทบต่อเลือดและเป็นอันตรายต่อผู้มีโรคประจำตัว โดยเฉพาะโรคความดัน เบาหวาน หรือโรคหลอดเลือด ซึ่งบัดนี้วิธีแก้ไขง่ายๆ ที่ใช้กันทั่วไปก็คือแค่ดื่มน้ำให้มากสักหน่อยก็จะไม่เป็นอันตราย
หลังจากประเทศไทยออกประกาศการใช้ยาในการรักษาโคขวิด ฉบับลงวันที่ 29 มีนาคม 2563 ที่ให้ใช้ยาค็อกเทลและยาอื่นๆ ในการรักษาผู้ป่วยแล้วก็สามารถรักษาผู้ป่วยให้หายได้ทั้งหมด อัตราการเสียชีวิตจึงไม่เพิ่มจาก 58 คน มาหลายเดือนแล้ว นั่นหมายความว่าประเทศไทยมียารักษาโคขวิดให้หายได้อย่างรวดเร็ว
และเรื่องนี้ก็เป็นที่ทราบกันทั่วโลก จึงมีชาวโลกจากหลายประเทศต้องการจะเข้ามารักษาตัวหรือเข้ามาพักเพื่อความปลอดภัย แต่กลับถูกขัดขวางโดยขบวนการโคขวิดที่ไม่ต้องการให้ความจริงเป็นที่ทราบโดยทั่วไป ดังนั้นจึงเป็นอุปสรรคขัดขวางต่อการฟื้นฟูกอบกู้เศรษฐกิจของประเทศ
9 เดือนที่ผ่านมานี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าแม้จะอิมพอร์ตผู้ป่วยเข้ามาจากต่างประเทศนับพันคน แต่จำนวนผู้ป่วยก็อยู่แค่ระดับ 3,500 คน ยังห่างไกลจากเป้าหมาย 350,000 คน ในวันที่ 30 เมษายน 2563 มากมายนัก และยังห่างไกลจากเป้าหมายการเสียชีวิต 25,000 คน ในวันที่ 30 เมษายน 2563 เช่นกัน
นอกจากนั้นทั่วโลกก็ยอมรับนับถือกันแล้วว่าประเทศไทยเป็นประเทศแรกที่ค้นพบแบบแผนการใช้พลาสมาในการรักษาโคขวิดให้หายได้อย่างชะงัดในเวลาไม่กี่ชั่วโมงโดยหลักคิดอย่างเดียวกันกับการใช้เซรุ่มพิษงูรักษาพิษงูโดยประเทศต่างๆ ได้ประกาศเป็นทางการให้ใช้พลาสมาในการรักษาโคขวิดกันโดยทั่วไป แม้กระทั่งประเทศอังกฤษหรือประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศล่าสุด
แล้วใครเล่าที่ขัดขวางไม่ยอมประกาศใช้พลาสมาในการรักษาโคขวิด? เป็นเรื่องที่ไม่มีใครคิดอ่านแก้ไขหรือตอบคำถามนี้ ทั้งที่คำถามกึกก้องกระหึ่มไปทั้งบ้านทั้งเมือง และทั้งๆ ที่สภากาชาดไทยได้ออกหน้าเป็นเจ้าภาพรณรงค์ให้มีการใช้พลาสมาในการรักษาโคขวิดแล้วก็ตาม แต่ขบวนการโคขวิดก็หาไยดีไม่
สักวันหนึ่งประเทศไทยอาจจำเป็นต้องไต่สวนหาความจริงและดำเนินคดีกับพวกที่เอาชีวิตคนไทยเป็นตัวประกันในการรักษาอำนาจและผลประโยชน์ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างสืบไป
โดยสรุปรวมก็คือ ปัจจุบันนี้ทั้งโลกมีผู้ป่วย 28 ล้านคนรักษาหายแล้ว 18 ล้านคน เหลือผู้ป่วยระหว่างรักษา 8 ล้านคนในขณะที่โลกมีประชากร 7,000 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตยังไม่ถึง 1 ล้านคน ไม่ต่างจากจำนวนผู้เสียชีวิตด้วยโรคระบาดอื่นๆ ที่ไม่มีใครเกรงกลัว เช่น โรคไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น
และบัดนี้โลกก็มีวัคซีนโคขวิดออกจำหน่ายแล้ว และผ่านการพิสูจน์มาแล้วทั้งในจีนและรัสเซีย และยังมียา ตลอดจนแบบแผนการรักษาที่แน่นอนชัดเจนอยู่แล้ว แต่ขบวนการโคขวิดกลับทำเป็นไม่พูดและไม่ยอมรับไม่สร้างความเข้าใจในเรื่องนี้เลย
ดังนั้นชาวโลกและคนไทยจึงถึงเวลาต้องตื่นตัวเข้าใจให้ทันท่วงที อย่าให้ใครหน้าไหนมาแหกตาลวงโลกทำให้บ้านเมืองพินาศวายวอดอีกต่อไป
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี