คนที่อยู่เบื้องหลังม็อบคณะราษฎร 63 เล่นง่ายๆ ชุ่ยๆ
เอาความโลภ เอาเงินมาล่อตาล่อใจ แล้วเอาเรื่องเล่าตลบตะแลง ความจริงครึ่งเดียว มาปั้นแต่ง ปลุกระดม สร้างความชอบธรรม
พวกไม่กล้าออกหน้าเอง เพราะรู้ว่ามันไม่จริง มันมั่ว มันผิดกฎหมาย จึงยุยง ยกยอ ปลุกปั่นให้คนบางกลุ่มที่ไม่มีคุณงามความดีอะไรต่อบ้านเมืองมาก่อนเลย ออกหน้าแทน
ล่าสุด ว่าด้วยเรื่องทรัพย์สินพระมหากษัตริย์
ความจริงเป็นอย่างไร
1. การบริหารจัดการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ได้ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับการปกครองในระบอบที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีวิวัฒนาการเคียงคู่กับประวัติศาสตร์ชาติไทยมาโดยตลอด นับตั้งแต่สมัยที่ประเทศไทยยังปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ทรัพย์สินในราชอาณาจักรเป็นของพระมหากษัตริย์ ผู้ทรงอยู่ในฐานะ “พระเจ้าแผ่นดิน” แต่เพียงพระองค์เดียว
อย่างไรก็ตาม พระมหากษัตริย์ได้ทรงพยายามแยกพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ออกจากทรัพย์สินของแผ่นดิน โดยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) การค้าขายกับต่างประเทศเจริญก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก จึงได้ทรงเก็บสะสมกำไรที่ได้จากการค้าสำเภา ซึ่งเป็นพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ไว้ในถุงผ้าสีแดงซึ่งเรียกกันว่า “เงินถุงแดง” ไว้ข้างพระแท่นที่บรรทม เรียกว่า “เงินข้างที่” ซึ่งต่อมามีจำนวนมากขึ้นก็เก็บไว้ในห้องข้างๆ ที่บรรทม จึงเรียกว่า “คลังข้างที่”
โดยได้พระราชทานให้ไว้เป็นทุนสำรองให้แก่แผ่นดินสำหรับใช้ในยามบ้านเมืองเกิดภาวะคับขัน
และในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5)ได้เกิดเหตุวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 (พ.ศ.2426) ที่สยามเกิดกรณีพิพาทกับฝรั่งเศสจึงได้นำเงินถุงแดงมาสมทบเพื่อเป็นการชดใช้ค่าเสียหายและค่าประกันแก่ฝรั่งเศส จนสามารถรักษาเอกราชอธิปไตยของชาติไว้ได้
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) เป็นยุคแห่งการปฏิรูปและการพัฒนาประเทศในทุกๆ ด้าน โดยได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการปฏิรูประบบการคลังใหม่และมีการจัดทำงบประมาณแผ่นดินเป็นครั้งแรก เพื่อให้รายรับและรายจ่ายของแผ่นดินเป็นไปอย่างมีระเบียบแบบแผน ซึ่งการจัดทำงบประมาณในครั้งนี้ได้มีการแยกพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ออกจากทรัพย์สินของแผ่นดินอย่างเด็ดขาด
โดยทรงมอบหมายให้ “กรมพระคลังข้างที่” เป็นผู้จัดการดูแลพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์
เมื่อรายได้ของแผ่นดินมากขึ้นอันเนื่องมาจากการปฏิรูปทางการเงินในปี พ.ศ.2433 ซึ่งมีการจัดตั้งกระทรวงการคลังขึ้นมาเป็นครั้งแรกส่งผลให้จำนวนเงินที่ได้รับการจัดสรรของกรมพระคลังข้างที่ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ในช่วงแรก รายได้ของกรมพระคลังข้างที่นำไปเป็นค่าใช้จ่ายส่วนพระองค์และพระบรมวงศานุวงศ์ ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาพระราชวัง และค่าใช้จ่ายในการเสด็จไปทรงศึกษาต่อยังต่างประเทศของพระราชโอรสเป็นหลัก เมื่อรายได้เพิ่มมากขึ้นจึงมีเงินเหลือจ่ายจากค่าใช้จ่ายดังกล่าว จึงเกิดการริเริ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ก่อสร้างอาคารพาณิชย์ เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของประชาชนและให้โอกาสในการทำการค้าขาย นอกจากนี้ เมืองสำคัญในต่างจังหวัดยังได้มีการสร้างตลาดขึ้น เพื่อนำค่าบำรุงตลาดไปใช้ในการพัฒนาระบบสุขาภิบาลและสาธารณูปโภคพื้นฐานในเขตศูนย์กลางเมืองใหม่เหล่านี้ควบคู่พร้อมไปกับการตัดถนนของกระทรวงโยธาธิการ ดังที่กล่าวข้างต้นนี้ ถือได้ว่าเป็นรากฐานของทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ในปัจจุบัน
2. อย่าลืมว่า สำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ มีจุดกำเนิดมาจากเงินส่วนพระองค์ของในหลวงรัชกาลที่ 3 ที่ได้จากการทำธุรกิจของพระองค์เอง ตั้งแต่ก่อนจะครองราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เงินก้อนที่เรียกว่า เงินถุงแดง ตกมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ต่อมาเรียกว่า เงินข้างที่ ต่อมาถูกจัดตั้งขึ้นเป็นกรม พระคลังข้างที่
ก่อนจะถูกปรับเปลี่ยนเป็นสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475
ความจริง ทรัพย์สินส่วนนี้ มันจึงเป็นทรัพย์สมบัติของพระมหากษัตริย์ตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
4. ดร.นิว หรือ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาน Suphanat Aphinyan ระบุว่า
“ม็อบราษฎรกบฏปล้นชาติ
หุ้นธนาคารไทยพาณิชย์เป็นของสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์อยู่แล้ว เพียงแต่อยู่ในนามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งหมายถึง การช่วยดูแลรักษาเพื่อประโยชน์สูงสุดของชาติและประชาชน
ไม่ใช่อย่างที่คนที่อยู่เบื้องหลังม็อบราษฎร หรือคนที่อยู่ข้างหลังเพจเยาวชนปลดแอก ยุยงปลุกปั่นสร้างชุดความคิดบิดเบือนหลอกลวงมวลชนเป็นเครื่องมือปล้นชาติ พยายามช่วงชิงอำนาจรัฐ และเป็นกบฏละเมิดต่อระบอบการปกครอง
ลองสมมุติกันดูเล่นๆ สมมุติถ้าม็อบราษฎรยึดได้แล้วยังไงต่อ? คิดว่าหุ้นเหล่านั้นจะตกเป็นของประชาชนจริงๆหรือ?
จะให้นักการเมืองเข้ามาดูแลแล้วโกงหรือเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเองอย่างที่ผ่านๆมาหรือ?
หรือต่อให้แบ่งให้ประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมแล้วจะยังไงต่อ? คิดว่าทุกคนจะถือไว้หรือขาย? แล้วถ้าทุกคนแห่กันขายเพื่อเอาเงิน อะไรจะเกิดขึ้น?
สุดท้าย หุ้นเหล่านั้นก็จะถูกแทรกแซงหรือตกอยู่ในมือของทุนสามานย์ทั้งจากในและนอกประเทศ แล้วผลเสียที่เกิดขึ้นตามมาจะร้ายแรงเพียงใด? ใครเสียประโยชน์?
ดังนั้น การให้ทรัพย์สินพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้ชื่อและการดูแลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงเป็นประโยชน์ของชาติและประชาชนอย่างสูงสุด ดังนี้...
- ประเทศชาติได้ภาษีอากรเพิ่มมากขึ้น
- ประชาชนทั้งประเทศได้รับประโยชน์จากงบประมาณแผ่นดินที่เพิ่มมากขึ้น
- นักการเมืองไม่สามารถแทรกแซงทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ได้
- ทุนสามานย์ทั้งในและนอกประเทศไม่สามารถเข้ามาเบียดบังหรือยึดครองทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ได้
- เป็นหลักประกันเอกราชและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาติ
- สามารถนำทรัพย์สินต่างๆออกมาใช้เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนได้
- สานต่อพระราชปณิธานของพระมหากษัตริย์องค์ก่อนๆเพื่อประโยชน์สุขของอาณาราษฎรให้บริบูรณ์
ที่สำคัญที่สุด เงินส่วนนี้คือพระคลังข้างที่ เป็นพระราชมรดก คณะราษฎรต่างหากที่เข้ามาปล้น และคณะราษฎรนี่แหละที่เอาทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ออกมาขายให้กับตัวเองในราคาถูกๆ เช่น กรณีขุนนิรันดรชัย คนสนิทของจอมปลอม ป.ที่ลูกหลานแย่งมรดกมูลค่าหลายหมื่นล้านกันอยู่ปัจจุบัน
แล้วทุกวันนี้ประเทศชาติและประชาชนได้อะไรจากทรัพย์สินเหล่านั้นบ้าง?
ม็อบราษฎรจะปล้นชาติตามรอยคณะราษฎรรุ่นพี่หรือ?
ม็อบราษฎรจะเริ่มก่อกบฏโดยใช้ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาติเป็นตัวประกันแล้วใช่ไหม?”
พรุ่งนี้ มาดูการเปลี่ยนแปลงการบริหารจัดการทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ตามกฎหมายที่แก้ไขเมื่อปี 2561 ว่ามันต่างจากเดิมอย่างไร? มันเป็นเหมือนที่ม็อบกล่าวหาจริงหรือ?
สารส้ม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี