หลังคว้าชัยการเลือกตั้ง ได้ครองตำแหน่งประธานาธิบดี คนที่ 46 ของสหรัฐอเมริกา และจะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคม 2564 “โจ ไบเดน” ยังคงต้องเผชิญกับความหนักอกหนักใจและปัญหาอีกร้อยแปดที่เป็นผลพวงมาจากการบริหารงานและนโยบายของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
เริ่มจากการประกาศไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งของอดีต ปธน. ทรัมป์ ที่ส่งผลเกิดความล่าช้าของกระบวนส่งมอบงานให้กับทีมงานและรัฐบาลของ ปธน. ไบเดนจนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นอย่างมาก เพราะสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 และจำเป็นต้องมีผู้นำเพื่อพาประเทศและชีวิตของคนอเมริกันกลับสู่ภาวะปกติให้เร็วที่สุด
ความล่าช้าในการส่งมอบตำแหน่ง ยังส่งผลกระทบถึงการทำแผนสนับสนุนการผลิตและแจกจ่ายวัคซีนซึ่งเป็นความหวังของคนอเมริกันในการหลุดพ้นวิกฤติโควิดและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น แผนที่รัฐบาลไบเดนควรให้ความสนใจต่อจากนี้ไม่ใช่การจะแจกจ่ายวัคซีนอย่างไร แต่ควรจะเป็นจะทำอย่างไรให้ประชาชนได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง
นอกจากเรื่องของโรคระบาดและสภาพเศรษฐกิจที่โดนฉุดลงไปแบบยังไม่มีแนวโน้มจะฟื้นตัวนั้น ประธานาธิบดีคนใหม่ ยังต้องรับมือกับอีกหนึ่งความท้าทายสุดหิน นั่นคือความสัมพันธ์อันตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีน หลังจากที่รัฐบาลของทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีน ก่อนที่จีนจะตอบโต้มาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ ด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน
โจทย์ยากสำหรับ ปธน. ไบเดน คือการตัดสินใจว่าจะยังคงอัตราภาษีนำเข้าจากจีน ซึ่งเพิ่มต้นทุนให้กับภาคเอกชนและผู้บริโภคชาวอเมริกัน หรือจะผ่อนคลายนโยบายภาษีเพื่อแลกกับการกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าความขัดแย้งและสงครามการค้าระหว่างสองประเทศอำนาจที่ผ่านมา ส่งผลต่อภาคการส่งออกไทยทั้งทางตรงคือการค้าระหว่างไทย-จีน และทางอ้อมคือภาวะการค้าโลกที่ชะลอตัวลงจากเศรษฐกิจจีนและคู่ค้า เราจึงเห็นตัวเลขสถิติการส่งออกตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมายังคงติดลบอยู่
แม้ทางออกของประเทศไทยในการฟื้นฟูประเทศให้อยู่รอดอย่างยั่งยืนในตอนนี้คือการพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศให้มากที่สุด โดยเฉพาะภาคเกษตร อุตสาหกรรม และท่องเที่ยว 3 ภาคส่วนที่คาดว่าจะมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในหลายประเทศทั่วโลกยังไม่คลี่คลาย
แต่การที่จะพัฒนาเศรษฐกิจของไทยให้กลับมามีความเข้มแข็ง จำเป็นต้องได้แรงกระตุ้นจากเศรษฐกิจโลกเราจึงต้องจับตานโยบายต่างประเทศและการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ ซึ่งอาจจะมี“จุดเปลี่ยน” ที่ส่งผลดีต่อการส่งออกของจีนและประเทศในกลุ่มห่วงโซ่อุปทาน เพราะยังไงนโยบายเศรษฐกิจของมหาอำนาจย่อมสร้างแรงกระเพื่อมต่อภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจและการค้าโลก รวมทั้งประเทศไทยอย่างมหาศาลแน่นอน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี