วันที่ 12 มกราคม 2563 สาธารณสุขแถลงพบผู้ป่วยโควิด-19 รายแรกในประเทศไทย และเป็นผู้ติดเชื้อรายแรกที่มีการตรวจพบนอกประเทศจีน จากวันนั้นจนถึงวันนี้ผ่านไปเป็นเวลากว่า 1 ปี ซึ่งตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เป็นเวลาที่ประเทศไทยและทั่วโลกต้องเผชิญกับโรคระบาดครั้งใหญ่ ที่ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลกไปแล้วกว่า 90 ล้านคน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะถึง 100 ล้านคน ภายในสิ้นเดือนมกราคมนี้ และขณะนี้ประเทศไทยก็กำลังทะยานเกิน 1 หมื่นรายแล้ว
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับความจริงว่า การกลับมาระบาดระลอกใหม่นี้เป็นโจทย์ที่ท้าทายรัฐบาลอย่างมาก เพราะการจะบริหารในครั้งนี้ ด้วยสถานการณ์และปัจจัยทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศหลายๆ อย่าง ทำให้เงื่อนไขในการบริหารจัดการไม่ง่ายเหมือนครั้งที่แล้ว การปิดประเทศหรือล็อกดาวน์ทำได้ไม่ง่ายอีกแล้ว เนื่องจากสถานะทางเศรษฐกิจของประเทศมีความเปราะบางอย่างมากในเวลานี้
และสถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยเพียงเท่านั้น เพราะก็มีอีกหลายประเทศที่เชื้อไวรัสกลับมาแพร่ระบาดอย่างหนัก แม้แต่ในมาตรการการควบคุมที่ดี อย่างประเทศญี่ปุ่น ที่วันนี้ก็มีการขยายประกาศภาวะฉุกเฉินเพิ่มเติมอีก 7 วัน และส่วนท้องถิ่นมีการร้องขอให้รัฐประกาศภาวะฉุกเฉินเพิ่มอีก 3 จังหวัดรวม 7 จังหวัดแล้ว เพราะเมื่อวันอังคารวันเดียวมีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มถึงกว่า 5 พันคน ที่น่าสนใจคือประเทศญี่ปุ่นถือว่าเป็นประเทศที่มีระบบสาธารณสุขที่ดีในระดับต้นๆของโลก และมีสภาพภูมิประเทศที่แยกตัวออกจากประเทศอื่น ก็ยังสามารถกลับมาแพร่ระบาดได้อีกครั้ง
ซึ่งเมื่อมองย้อนกลับมาที่ประเทศไทย ที่มีพรมแดนประเทศติดกับประเทศเพื่อนบ้านถึง 4 ประเทศ คือ เมียนมา ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย โดยตอนนี้ 2 ใน 4 ประเทศกำลังมีการระบาดอย่างหนักในลักษณะที่ยังคุมไม่อยู่ อย่างมาเลเซีย โดยเมื่อวันที่ 12 มกราคม ที่ผ่านมากษัตริย์แห่งประเทศมาเลเซียก็ได้มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศ ตั้งแต่วันดังกล่าวถึงวันที่ 1 สิงหาคม เพราะการพบผู้ติดเชื้อในระดับสูงมากต่อวันติดต่อกันหลายวันตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม ที่หนักสุดเห็นจะเป็นประเทศเมียนมาที่สถานการณ์ก็ยังคงน่าเป็นห่วง และมีผู้ป่วยสะสมในตอนนี้อยู่ที่ประเทศละ 130,000 กว่ารายแล้วพอกับมาเลเซีย โดยปัญหาสำหรับไทย คือ ชายแดนที่มีระยะยาวระหว่างไทยและเมียนมานั้น ยากที่จะควบคุมเหมือนชายแดนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านอื่น ตลอดจนปัญหาเดิมของเมียนมาในเรื่องชนกลุ่มน้อย ที่ทำให้เกิดปัญหาลักลอบข้ามชายแดนเข้ามาหางานและยากที่จะควบคุม
ความลำบากของรัฐในการตัดสินใจนโยบายแก้ปัญหาโควิดรอบนี้ ทั้งในส่วนการป้องกันการแพร่ระบาด ปัญหาผลกระทบทางเศรษฐกิจ และปัญหางบประมาณภาครัฐที่จะลงไปช่วย ก็เพราะทุกอย่างมันพัวพันเกี่ยวเนื่องกันไปหมดในรอบนี้ แก้อย่างไรก็จะไปกระทบอีกอย่างหนึ่งอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ตั้งแต่ปัญหาการควบคุมการแพร่ระบาด ที่คาดว่าต้นตอหลักจากการระบาดรอบสองมาจากการลักลอบเข้ามาของแรงงานต่างชาตินั้น เอาเข้าจริงก็เกี่ยวพันกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเพราะแรงงานหลักในบ้านเราทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคประมง รวมถึงอุตสาหกรรมบางอย่าง ล้วนมาจากการพึ่งพาแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน เพราะเศรษฐกิจของประเทศไทยต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติ โดยเฉพาะพึ่งพาแรงงานเมียนมา มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ถ้าขาดปัจจัยแรงงานเหล่านี้ภาคธุรกิจก็เดินต่อไม่ได้
อย่างปีที่แล้วที่มีการระบาดรอบแรก การก่อสร้างในประเทศต้องหยุดชะงักไปอย่างน้อยสามเดือน นี้ยังไม่นับอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ต้องพึ่งพาแรงงาน และอย่างในตอนนี้อุตสาหกรรมการประมง ห้องเย็น อาหารแช่แข็ง ก็ต้องชะงักลงไป และยังไม่รู้จะสามารถกลับมาดำเนินการได้อีกเมื่อไหร่ ซึ่งธุรกิจและเศรษฐกิจที่ต้องพึ่งพาอยู่กับอาหารทะเล มีมูลค่านับพันล้าน
แต่ถ้าแรงงานเข้ามามีเชื้อโควิดก็อาจทำให้ภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือต่ออุตสาหกรรมประมงและการส่งออกอาหารทะเลและอาหารทะเลแปรรูปขาดความเชื่อมั่นได้
ดังนั้นการสกัดแรงงานต่างชาติอย่างเดียวจึงอาจไม่ใช่ทางออก หากแต่ต้องหาทางคัดกรองและควบคุมแรงงานที่จะเข้ามารวมถึงการคำนึงถึงปัจจัยส่วนต่างต้นทุนการนำเข้าแรงงานจนนำไปสู่การลักลอบนำเข้าแรงงาน
รัฐบาลจึงได้เตรียมให้มีการเปิดให้แรงงานต่างด้าวนอกระบบที่ลักลอบเข้ามาอยู่ในไทยตอนนี้แล้วสามารถขึ้นทะเบียนได้ถูกกฎหมายเป็นกรณีพิเศษ ในช่วงวันที่ 15 มกราคม – 13 กุมภาพันธ์ เพื่อลดปัญหาการลักลอบแรงงานหรือหลบซ่อนแรงงานเพื่อป้องกันการตรวจพบ แต่การดำเนินการนี่ก็ยังมีผู้แสดงความกังวลว่าอาจส่งผลให้แรงงานต่างด้าวใหม่ที่สบช่องทะลักเข้ามาในไทยเพิ่มขึ้นตรงนี้ก็ต้องกลับไปดูที่มาตรการควบคุมตามชายแดน
ในขณะที่สิ่งที่รัฐบาลตัดสินใจยากอีกเรื่องก็คือ การใช้งบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ในปีที่สองของโควิด อันเนื่องมาจากมาตรการในการควบคุมโควิดที่อาจกระทบวิถีทางเศรษฐกิจของประชาชน โดยจะยกบางส่วนของนโยบายปีที่แล้วมาใช้ เช่น ลดค่าไฟค่าน้ำ เราชนะ(จ่าย 3,500 บาท/คนเป็นเวลา 2 เดือน), การเสริมสภาพคล่องการพักชำระหนี้(สินเชื่อเสริมพลังฐานราก,สินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายผู้มีอาชีพอิสระ, สินเชื่อเพื่อการลงทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต), ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง, ยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอนอสังหาฯ) รวมไปถึงโครงการเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่าง คนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน รวมงบประมาณที่ตั้งไว้ทั้งสิ้น 6.9 แสนล้านบาท ซึ่งลักษณะเช่นนี้แม้จะเกิดกับรัฐบาลทั่วโลกแต่กระเป๋าเงินของแต่ละประเทศก็มีศักยภาพไม่เท่ากัน อย่างไรก็ตาม หลายฝ่ายก็กังวลต่อภาระหนี้สาธารณะต่อรัฐบาลว่าจะเพิ่มไปอีกเท่าใดและหากสถานการณ์ยังไม่จบ หากในอนาคตมีวิกฤติที่ต้องใช้งบประมาณเพิ่มเติมจะมีการวางแผนอย่างไร ตรงนี้จึงอาจเป็นจุดที่ยากของรัฐบาลที่จะประเมิน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่ปีที่สอง ธุรกิจขนาดใหญ่หลายแห่งอาจรอไม่ไหวแล้วและอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤติการเงินที่รัฐบาลอาจต้องรีบหันมามอง
โดยศูนย์วิจัยธนาคารออมสิน ประเมินว่าภาคเอกชนได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิดที่กระทบภาคธุรกิจตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปีนี้ จนอาจทำให้เกิดหนี้ของภาคธุรกิจ โดยกิจการที่ได้รับผลกระทบหนักคือท่องเที่ยว ขนส่ง อสังหาริมทรัพย์ และอุตสาหกรรม โดยทางศูนย์วิจัยคาดว่า อาจนำไปสู่การผิดชำระหนี้ได้ในปีนี้ ทั้งนี้หุ้นกู้ของบริษัทเอกชนที่ครบกำหนดแล้วเสี่ยงจะผิดชำระหนี้ปีนี้ ประเมินว่ารวมทั้งสิ้นอาจอยู่ที่ 296,151 ล้านบาท
ฉะนั้น ในรอบปีนี้ปัญหาต่างๆ ของรัฐบาลที่สะสมมาตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว อย่างเรื่องโควิด และเรื่องปากท้องของประชาชน หรือเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ ที่ส่งผลทำให้เกิดหนี้สิ้นของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่กำลังเพิ่มขึ้น ปีนี้คงจะเป็นอีกหนึ่งปีที่หนักของรัฐบาลที่จะทำการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า และพยุงประชาชนในประเทศให้ผ่านพ้นปัญหาต่างๆ ไปอย่างอยู่รอดปลอดภัย แม้ว่ายากและเดินอย่างไรก็ต้องมีผลกระทบแต่ก็คงต้องทำ
“คมดาบ ยิ่งฝนยิ่งคม มนุษย์ไยมิใช่เป็นเช่นกัน
มนุษย์มากหลายในโลกนี้ ไยมิใช่เติบใหญ่ในท่ามกลางความปวดร้าวขมขื่น”
โกวเล้ง จากหนังสือ มังกรเมรัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี