“คิดอยู่แต่บนโต๊ะในห้องแอร์ ไม่มีทางแก้ปัญหาจริงได้หรอก” เป็นประโยคที่ผมได้ยินบ่อยมากเมื่อนำผลการวิจัยไปนำเสนอต่อสาธารณะ ซึ่งเป็นประโยคที่ผมเห็นด้วยอย่างมาก เพราะผมเชื่อในการพัฒนาองค์ความรู้บนพื้นฐานของทฤษฎี โดยต้องไม่ทิ้งการทำความเข้าใจบริบทที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ด้วย นี่จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผมทำการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (participatory actionresearch) ร่วมกับทีมวิจัยในพื้นที่ 3 พื้นที่ ได้แก่ กรุงเทพฯ น่าน และนครราชสีมา ในการศึกษาบริบททางสังคม-วัฒนธรรม และปัญหาการคอร์รัปชันตามความเข้าใจของคนในพื้นที่จริงๆ เพื่อนำมาออกแบบเครื่องมือในการต่อต้านคอร์รัปชัน และเสริมสร้างธรรมาภิบาลที่เหมาะสมกับพื้นที่นั้นๆ ภายใต้โครงการประสานงานวิจัยและส่งเสริมศักยภาพเครือข่ายเพื่อสังคมไทยไร้คอร์รัปชัน ระยะที่ 2 โดยได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
งานวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมนั้น เริ่มจากการทำความเข้าใจเงื่อนไขหรือสภาพเดิมในพื้นที่ก่อนการวิจัย (pre-existing conditions) ในบริบทเชิงสถาบัน โครงสร้าง และความสัมพันธ์ทั้งภายในและภายนอกชุมชน ผ่านแนวความคิดความสัมพันธ์ระหว่างสังคมและรัฐ สถาบัน และบรรทัดฐานทางสังคมและบรรทัดฐานส่วนบุคคล ในรายพื้นที่ทั้ง 3 พื้นที่ซึ่งมีลักษณะเชิงกายภาพและโครงสร้างสถาบัน แตกต่างกันในลักษณะที่สามารถเป็นตัวแทนของพื้นที่ต่างๆ ในประเทศไทยได้ นั่นคือ พื้นที่ กรุงเทพฯ ที่เป็นชุมชนเมือง พื้นที่น่านที่เป็นชุมชนชนบท และพื้นที่นครราชสีมา ที่เป็นพื้นที่กึ่งเมืองกึ่งชนบท จากการศึกษาพบว่านอกจากความแตกต่างนี้แล้ว แต่ละชุมชนยังมีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างกันด้วย นำไปสู่การวิเคราะห์ศักยภาพในการรองรับการสร้างเสริมธรรมาภิบาลของชุมชนที่แตกต่างกัน เช่น ชุมชนชนบทที่ชาวบ้านในชุมชนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน แต่มีระยะห่างเชิงอำนาจจากหน่วยงานรัฐมาก ก็จะแตกต่างจากชุมชนเมืองที่แม้ชาวบ้านแต่ละคนจะมีความตื่นตัวกับการแก้ไขปัญหาภายในชุมชนแต่ความสัมพันธ์ภายในชุมชนค่อนข้างต่ำ มีความขัดแย้งภายในมาก ดังนั้นเครื่องมือเพื่อเสริมสร้างธรรมาภิบาลจึงควรอยู่บนหลักการที่เหมาะสมกับบริบทของชุมชนนั้นๆ ด้วย
จากข้อมูลสรุปการถอดบทเรียนเงื่อนไขหรือสภาพเดิมของพื้นที่ ทั้ง 6 ด้าน ได้แก่ ลักษณะของพื้นที่ บริบทของพื้นที่ สถาบันทางสังคมในพื้นที่ รัฐในพื้นที่และความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและสังคม บรรทัดฐานทางสังคมในพื้นที่ และสถานการณ์การคอร์รัปชันในพื้นที่ คณะผู้วิจัยสามารถวิเคราะห์ปัจจัยสนับสนุน และอุปสรรคต่อการสร้างเสริมธรรมาภิบาลในพื้นที่ ซึ่งนำไปสู่ข้อเสนอแนะหลักการธรรมาภิบาลและเครื่องมือเสริมสร้างธรรมาภิบาลในพื้นที่ที่มีลักษณะต่างๆ แตกต่างกันได้ดังนี้
พื้นที่กรุงเทพฯ มีปัจจัยสนับสนุนสำคัญในการเสริมสร้างธรรมาภิบาลได้แก่ ผู้นำมีความพร้อม มีศักยภาพ และมีความต่อเนื่อง จากการที่คณะกรรมการชุมชนที่เป็นผู้ร่วมร่างกติกาชุมชนได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งอีกครั้ง นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายภายนอกชุมชนที่พร้อมสนับสนุนการทำงานอีกด้วย ในขณะที่อุปสรรค คือ การขาดกติกาในชุมชนและกลไกควบคุมทางสังคมที่ใช้จัดระเบียบภายในชุมชน ขาดพื้นที่ส่วนกลางในการรวมกลุ่มและทำกิจกรรม และความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนและสำนักงานเขตเป็นแบบทางการและไม่ประสานการทำงานร่วมกัน
ภายใต้บริบทนี้ หลักธรรมาภิบาลที่เหมาะสมสำหรับนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งในชุมชน คือ หลักนิติธรรมและหลักการมีส่วนร่วม เพื่อสร้างกติการ่วมกันในการตรวจสอบการดำเนินงานของชุมชนและสร้างกลไกการมีส่วนร่วมอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะช่วยลดความไม่ไว้วางใจระหว่างคณะกรรมการและคนในชุมชนได้ รวมถึงสร้างระบบการตรวจสอบภายในชุมชนเพื่อถ่วงดุลการทำงานของทุกฝ่าย
บนพื้นฐานของหลักนิติธรรมและหลักการมีส่วนร่วมเครื่องมือเหมาะสมในการนำไปใช้เสริมสร้างธรรมาภิบาลในพื้นที่คือ ธรรมนูญชุมชน เพื่อยึดเป็นหลักปฏิบัติร่วมกันในการบริหารจัดการชุมชน โดยทำหน้าที่เป็นกลไกในการป้องกันและแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนทั้งสองแห่ง และการตั้งคณะกรรมการเพื่อร่วมรับผิดชอบกลไกหนุนเสริมที่กำหนด เช่น มีการเสริมความรู้ด้านหลักธรรมาภิบาล มีกลไกเฝ้าระวังเพื่อการตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชัน มีกลไกในการยกย่องคนดีและผู้ให้เบาะแสเรื่องการทุจริตในชุมชน และมีกลไกในการทำงานเพื่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันกับหน่วยงานภายนอกที่เป็นรูปธรรม
พื้นที่น่าน มีปัจจัยสนับสนุนการเสริมสร้างธรรมาภิบาลได้แก่ การมีบรรทัดฐานทางสังคมร่วมกันในการต่อต้านคอร์รัปชัน ชาวบ้านมีความตื่นตัวต่อปัญหาคอร์รัปชันมาก ในขณะที่ผู้นำก็มีความพร้อมและกลุ่มในพื้นที่มีความเข้มแข็ง อย่างไรก็ตามอุปสรรคสำคัญคือ ขาดที่ชาวบ้านขาดความรู้และทักษะที่สำคัญในการเฝ้าระวังการคอร์รัปชันการขาดเครือข่ายที่เข้มแข็งในการทำงานต่อต้านคอร์รัปชันในพื้นที่และรูปแบบความสัมพันธ์แบบเครือญาติและกลุ่มชาติพันธุ์ที่แน่นแฟ้นแม้จะเอื้ออำนวยต่อการร่วมมือกัน แต่ก็มีผลต่อการตัดสินใจละเว้นการแจ้งเบาะแสทุจริตด้วย อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชาวบ้านเป็นลักษณะทางการ มีระยะห่างเชิงอำนาจสูง ทำให้การร้องเรียนและแจ้งเบาะแสในพื้นที่เป็นไปได้ยาก
ภายใต้บริบทนี้ หลักธรรมาภิบาลเหมาะสมในการนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาความไม่ไว้วางใจระหว่างรัฐกับชุมชนและส่งเสริมบทบาทของประชาชนในการตรวจสอบ คือ หลักการมีส่วนร่วม และหลักความโปร่งใส เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดการทำงานร่วมกับหน่วยงานรัฐภายใต้กลไกที่เหมาะสม สร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวบ้าน ลดความกลัวเจ้าหน้าที่รัฐจากการไม่มีความรู้และการขาดเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการแจ้งเบาะแสที่นำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้จริง
บนพื้นฐานหลักการมีส่วนร่วมและหลักความโปร่งใสเครื่องมือเหมาะสมในการนำไปใช้เสริมสร้างธรรมาภิบาลในพื้นที่ คือ แอปพลิเคชั่น บ่อเกลือ 4.0 ที่เป็นช่องทางรายงานเรื่องร้องทุกข์ร้องเรียนที่มีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องเปิดเผยตัวตน และติดตามความคืบหน้าในการแก้ปัญหาได้ รวมถึงข้อมูลที่สำคัญของโครงการในพื้นที่ การร่วมสร้างธรรมนูญตำบลด้านการเฝ้าระวังการคอร์รัปชันในพื้นที่ โดยระบุข้อตกลงในการพัฒนาโครงการในพื้นที่ที่ต้องผ่านการประชาคมหมู่บ้านและมีการติดตามการทำงานโดยตัวแทนจากชุมชนและการจัดตั้ง “สมาคมคนต้นน้ำอำเภอบ่อเกลือ” เพื่อขยายเครือข่ายการต่อต้านคอร์รัปชันในระดับอำเภอ รวมถึงลดอิทธิพลของเจ้าหน้าที่รัฐในการข่มขู่หรือไม่ให้ความร่วมมือ
พื้นที่นครราชสีมา มีปัจจัยสนับสนุนการสร้างเสริมธรรมาภิบาล ได้แก่ การที่ชาวบ้านในชุมชนได้รับการปลูกฝังเรื่องคุณธรรมและความดีที่ส่งเสริมการทำงานที่สุจริตที่ดีอยู่แล้วผ่านโครงการต่างๆ การมีเครือข่ายภาคประชาสังคมที่พร้อมสนับสนุนการทำงาน มีกลุ่มเยาวชนกล้าดี ซึ่งมีศักยภาพในการร่วมตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชัน อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญคือ การขาดกลไกในการติดตามและตรวจสอบการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ขาดกลไกในการทำงานร่วมกันระหว่างเครือข่ายในการต่อต้านคอร์รัปชัน และรูปแบบความสัมพันธ์ของชุมชนเป็นระบบพวกพ้อง ทำให้สมาชิกในชุมชนเห็นความสำคัญของการช่วยเหลือพวกพ้องในกลุ่มขนาดเล็กมากกว่าการดูแลชุมชนส่วนรวม
ภายใต้บริบทนี้ หลักธรรมาภิบาลเหมาะสมในการนำมาใช้เพื่อเสริมสร้างแรงจูงใจในการต่อต้านคอร์รัปชัน และแก้ปัญหาความหวาดกลัวของคนในการร้องเรียน คือ หลักการมีส่วนร่วม และหลักความรับผิดชอบ โดยมีการสร้างช่องทางการรายงานที่ไม่เปิดเผยตัวตนเพื่อความปลอดภัยของผู้รายงาน และสร้างกลไกความรับผิดชอบในระดับเยาวชนซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการมีส่วนร่วมตรวจสอบและสามารถพัฒนาเป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยงกันในระดับจังหวัดได้
บนพื้นฐานของหลักการมีส่วนร่วมและหลักความรับผิดชอบเครื่องมือเหมาะสมในการนำไปใช้เสริมสร้างธรรมาภิบาลในพื้นที่ คือ การสร้างเครือข่ายด้านการต่อต้านคอร์รัปชันให้มีความเข้มแข็ง เพื่อส่งเสริมการทำงานด้านการเฝ้าระวังการคอร์รัปชันอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยการจัดตั้งกลุ่มไลน์ระะหว่างกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) สมาชิกสภาอบต. ผู้ใหญ่บ้านและคนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในการติดตามตรวจสอบโครงการทั้งที่อยู่ในอบต.และในตำบลใกล้เคียง การจัดตั้งคณะกรรมการธรรมาภิบาลและกติกาชุมชนธรรมาภิบาลในระดับพื้นที่ และการจัดตั้งกลุ่มเยาวชนเพื่อส่งเสริมบทบาทการร่วมตรวจสอบการคอร์รัปชันในโรงเรียน
ดังที่คณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก หรือ UNESCAP เคยนำเสนอไว้ว่าการส่งเสริมหลักธรรมาภิบาลไม่จำเป็นต้องริเริ่มที่ครอบคลุมหลักธรรมาภิบาลทุกข้อ หากแต่สามารถริเริ่มแนวทางปฏิบัติที่ครอบคลุมเพียงแค่บางข้อและสามารถต่อยอดไปหลักธรรมาภิบาลข้ออื่นๆ ได้นั้น สะท้อนผ่านกระบวนการศึกษาและทดลองสร้างเสริมธรรมาภิบาลในพื้นที่ตัวอย่างของประเทศไทยในงานวิจัยนี้อย่างชัดเจน บทสรุปการถอดบทเรียนกระบวนการสร้างเสริมธรรมาภิบาลในพื้นที่ที่มีลักษณะทางกายภาพ บริบทเชิงโครงสร้าง สังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมือง ความสัมพันธ์ภายในชุมชน และระหว่างชุมชนกับรัฐที่แตกต่างกัน ซึ่งนำไปสู่การเลือกนำหลักธรรมาภิบาลบางประการเป็นพื้นฐานในการออกแบบเครื่องมือสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดธรรมาภิบาลในภาพรวมที่ดีขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลนี้ แม้อาจไม่ได้ครอบคลุมรายละเอียดของพื้นที่ทุกพื้นที่ในประเทศไทย แต่ก็อาจเป็นต้นแบบสำคัญในการนำไปศึกษาต่อหรือประยุกต์ใช้จริงอย่างมีหลักการที่พิสูจน์ได้ในพื้นที่อื่นๆ และเมื่อพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศไทยต่างสามารถสร้างเสริมธรรมาภิบาล
ในรูปแบบและวิธีการที่เหมาะสมกับพื้นที่ของตัวเอง โดยเริ่มจากคนในชุมชนไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและความสัมพันธ์ต่างๆ ของสังคมและรัฐแล้ว ประเทศไทยก็มีโอกาสที่จะมีธรรมาภิบาลอย่างแท้จริงภายใต้ความจริงที่แตกต่างหลากหลายนี้
รศ.ดร.ต่อตระกูล ยมนาค และ ผศ.ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี