วันพฤหัสบดี ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” นำเสนอเรื่องราวจากงานเสวนา (ออนไลน์) เรื่อง “ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกับความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย” จัดโดย สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งหากไม่มีสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2563 ที่ผ่านมา พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ก็จะมีผลบังคับใช้อย่างเต็มที่ โดยในปี 2563-2564 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ประกาศให้ลดหย่อนอัตราการจัดเก็บลงถึงร้อยละ 90 เพื่อบรรเทาผลกระทบของประชาชนในสถานการณ์โรคระบาดข้างต้นทั้ง 2 ระลอก
วิทยากรหลักในการเสวนา ดิษย์ มณีพิทักษ์ นักประเมินราคาทรัพย์สินชำนาญการ กรมธนารักษ์ กล่าวว่า ภาษีทรัพย์สินนั้น เดิมประเทศไทยมี “ภาษีโรงเรือนและที่ดิน” ซึ่งมีปัญหาซ้ำซ้อนกับภาษีเงินได้ที่เก็บจากค่าเช่าที่ได้รับ รวมถึงการรั่วไหลของภาษีในกระบวนการตรวจสอบค่าเช่า อาทิ การดูสัญญาเช่าหรือสอบถาม กับ “ภาษีบำรุงท้องที่” ที่ฐานภาษี(ราคาปานปลาง) ล้าสมัยและอัตราภาษีถดถอย ส่วนภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่มาแทนภาษีทั้ง 2 ประเภทข้างต้นนั้น จะเก็บจากที่ดิน โดยที่ดินรกร้างว่างเปล่าจะเก็บมากที่สุด รองลงมาคือพาณิชยกรรม
อย่างไรก็ตาม “การยกเว้นภาษี” คือความท้าทายในการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของไทย อาทิ บ้านหลังแรกราคาไม่เกิน 50 ล้านบาทไม่ต้องเสียภาษีแม้แต่บาทเดียว คำถามคือหากเป็นท้องถิ่นที่มีฐานภาษีไม่สูง เช่น ในชนบท แล้วยังมีการยกเว้นสูงอีกท้องถิ่นก็ยังคงต้องพึ่งพาการอุดหนุนจากรัฐบาลกลางเช่นเดิม และข้อยกเว้น 50 ล้านบาท เขียนไว้ในพระราชบัญญัติโดยตรง ทำให้การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเป็นไปได้ยาก ทั้งนี้ “การเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่สามารถลดความเหลื่อมล้ำนั้นควรเก็บแบบขั้นบันได” โดยผู้ที่มีบ้านหลังเล็กๆ ที่ดินไม่มากราคาไม่แพง อาจจ่ายภาษีเพียงหลักร้อยหรือแม้กระทั่งหลักสิบบาท การกระจายรายได้ก็จะดีขึ้น
“ภาพที่เราอยากเห็นคือทุกคนต้องจ่ายภาษีกันถ้วนหน้า แต่จ่ายในปริมาณที่ไม่มาก ถ้าเกิดทุกคนต้องจ่ายภาษีให้ท้องถิ่น ก็จะทำให้การเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งหน้าอาจจะมีความหมายมากขึ้น เพราะผู้บริหารท้องถิ่นเองก็จะต้องมีความรับผิดชอบกับเงินงบประมาณที่เขาได้ แล้วถ้าเกิดการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไม่ได้ผลที่มากเท่าที่ควร ก็อาจจะเก็บ Capital Gains Tax หรือภาษีผลได้จากทุน เช่น นาย ก. ซื้อดินมาด้วยราคานี้ ไปแจ้งกับกรมที่ดิน แต่พอต่อมา นาย ก. ไปแจ้งว่าขายได้สูงขึ้น 10 ล้านบาท ตัวกำไร 10 ล้านบาท ก็ต้องเอามาคิดภาษี ก็จะช่วยลดการเก็งกำไรที่ดินได้ แล้วก็เอาเงินโอนจากคนที่มีทรัพย์สินมากมากระจายรายได้สู่คนที่มีทรัพย์สินน้อย” ดิษย์ กล่าว
เมื่อถามต่อไปข้อเสนอการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในลักษณะที่น่าจะลดความเหลื่อมล้ำได้อย่างเห็นผล ดิษย์ มองว่า “ข้อยกเว้นควรมีให้น้อยที่สุดและยืดหยุ่นตามสถานะของคนจ่ายภาษี” เช่น การจัดเก็บภาษีที่อยู่อาศัย (Council Tax) ในอังกฤษ จะลดภาษีตามจำนวนบุตรในแต่ละครัวเรือน หรือลดให้กับคนที่กำลังศึกษาเล่าเรียน หรือลดให้กับบ้านที่อยู่อาศัยเพียงคนเดียว เป็นต้น แต่ก็ต้องยอมรับว่าฐานข้อมูลที่อังกฤษละเอียดมาก ถึงขั้นรู้ว่าแฟลตห้องไหนมีห้องนอนกี่ห้อง อาทิ นักศึกษาอยู่คนเดียวในแฟลต 2 ห้องนอน จะได้รับการลดหย่อนภาษีเพียงห้องเดียว
แต่ Council Tax ในอังกฤษเองก็ยังมีปัญหา โดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เมืองผู้ดี ได้รับการอุดหนุนงบประมาณจากรัฐบาลกลางส่วนหนึ่ง ที่เหลือจะเป็นการคำนวณส่วนต่างที่ อปท. ต้องการใช้ในแต่ละปีมาหักกับรายได้ที่ได้รับการอุดหนุน และเอาเงินที่ต้องการมาหักกับฐานภาษีทั้งหมดในพื้นที่ ทำให้ความต้องการรายได้ของ อปท. ในแต่ละปีไม่เท่ากัน ส่งผลให้แต่ละปีคนในท้องถิ่นนั้นจะเสียภาษีไม่เท่ากันทั้งๆ ที่ยังอยู่บ้านหลังเดิม
อีกคำถามหนึ่ง “คนที่มีภูมิลำเนาที่หนึ่ง แต่ต้องไปทำงานอีกที่หนึ่งซึ่งจำเป็นต้องซื้อที่อยู่อาศัยใกล้ที่ทำงาน เท่ากับมีบ้านหลังที่ 2 การเก็บภาษีคนกลุ่มนี้เป็นธรรมหรือไม่” เพราะจำนวนมากเป็นการซื้อแบบผ่อนไม่ใช่เป็นเงินสด ประเด็นนี้หากมองตามเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการกระจายทรัพย์สิน “แต่ละคนควรมีบ้านเพียง 1 หลัง” หากจ่ายภาษีไม่ไหวก็ควรย้ายทะเบียนบ้านมาอยู่ที่บ้านหลังที่พักอาศัยปัจจุบันส่วนบ้านที่ภูมิลำเนาเดิมหากไม่ขายก็ควรโอนให้บุคคลอื่นแทน
“ที่ผ่านมาผมอยากให้เรามองอย่างนี้ว่า มนุษย์เงินเดือนถูกเอาเปรียบจากคนที่เป็นมหาเศรษฐี เหตุผลคือเราเก็บภาษีจากรายได้ที่เป็น Earned Income(ภาษีเงินได้) หรือจาก Labour Income (ภาษีรายได้จากแรงงาน) เยอะเมื่อเทียบกับภาษีทรัพย์สิน ศัพท์ในทางวิชาการเขาเรียกว่า Unearned Income คือเหมือนกับได้มาเฉยๆ คืออาจจะได้มรดกเป็นที่ดินพันล้านไร่ แล้วสุดท้ายเราเอาไปขายได้กำไรหรือเอาไปปล่อยเช่าแล้วนั่งกินกำไร เราก็ไม่จำเป็นต้องทำงาน
เพราะฉะนั้นถ้าเกิดการสะสมทุนที่เพิ่มมากขึ้นไปกระจุกตัวอยู่กับคนไม่กี่กลุ่ม ก็จะทำให้ยังมีคนที่ไม่ต้องทำงานก็ได้แต่มีรายได้พอ ไม่ได้เดือดร้อนอะไร แทนที่จะเอาทรัพย์สินที่กระจุกตัวมากระจายให้กับคนที่เขาอยากจะเอามาพัฒนาหรือสร้างประโยชน์ให้กับประเทศมาหารายได้ ก็จะดีกว่า เพราะฉะนั้นผมก็มองว่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นภาษีที่ดีตัวหนึ่ง แต่โครงสร้างภาษีตอนนี้อาจจะไม่เหมาะสมกับประเทศไทยเท่าไรก็อาจจะต้องรอดูพัฒนาการต่อไป” ดิษย์ ให้ความเห็น
นักประเมินราคาทรัพย์สินผู้นี้ ยังกล่าวอีกว่า ประเด็นภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในสังคมไทยเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันในระยะยาว เพราะประเทศอื่นๆ ที่มีภาษีชนิดนี้มาก่อนก็ใช้เวลาพัฒนาการกันเป็นร้อยปี ไม่ใช่ว่าออกมาแล้วจะเป็นวิธีแก้ปัญหาสำหรับทุกอย่างอย่างไรก็ตาม การที่กำหนดให้ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นรายได้ของ อปท. จะเป็นแรงจูงใจให้ประชาชนตรวจสอบการใช้เงินภาษีโดยผู้บริหารท้องถิ่นมากขึ้น
การพัฒนาท้องถิ่นก็จะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ!!!

เปิดใจ! อาสากู้ภัยนำข้าวแจกชาวบ้าน ถูกน้ำพัดหาย ยันไม่ท้อ กลับมาช่วยต่อ ส่งข้าวกล่องใหม่ 200 ชุด
'HP'เตรียมปลดพนักงานครั้งใหญ่6,000ตำแหน่งทั่วโลก หวังลดค่าใช้จ่ายรับยุคของAI
โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ 'เขมวันต์ สงคราม' เป็นพลเรือเอก และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง
หมอสมเกียรติ คลินิกดังกระบี่ เปิดคลินิกรักษาฟรี2วัน ส่งต่อทุกบาทช่วยน้ำท่วม
‘อนุทิน’เยี่ยมศูนย์ อพยพ ม.อ.หาดใหญ่ สั่งเร่งระดมช่วยคนติดค้าง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี