วันนักข่าวแห่งชาติ ของประเทศไทย ตรงกับวันที่ 5 มีนาคมของทุกปี โดยวันนักข่าวถือกำเนิดในวันเดียวกับวันก่อตั้งสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย ปัจจุบันคือสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2498เพราะฉะนั้นเมื่อหลายสิบปีก่อน ทุกวันที่ 6 มีนาคมจึงจะไม่มีหนังสือพิมพ์รายวันออกวางจำหน่าย เพราะวันที่ 5 มีนาคม เป็นวันหยุดเฉพาะของผู้ที่ทำงานในแวดวงข่าวหนังสือพิมพ์ แต่ในระยะหลังๆ มานี้ หนังสือพิมพ์ก็ยังคงวางแผงจำหน่ายในวันที่ 6 มีนาคม เนื่องจากเห็นว่าผู้อ่านยังคอยติดตามอ่านข่าวสาร จึงทำให้ยกเลิกประเพณีไม่มีหนังสือพิมพ์จำหน่ายในวันที่ 6 มีนาคมไปโดยปริยาย
เมื่อพูดถึงความน่าเชื่อถือของนักข่าวในยุคปัจจุบันเทียบกับยุคอดีต จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จนกระทั่งถึงก่นด่านักข่าวยุคนี้อย่างมากมาย มากเสียจนเรียกได้ว่าคุณค่าของความเป็นนักข่าวเกือบไม่มีเหลืออีกต่อไป ถามว่าใครทำลายคุณค่า และความน่าเชื่อถือของตัวนักข่าวก็ต้องตอบชัดๆ ว่า ก็เพราะตัวนักข่าวจำพวกหนึ่งนั่นแหละที่เป็นตัวการทำลายศักดิ์ศรี ความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือที่สาธารณชนเคยมีให้กับนักข่าวในอดีตลงจนแทบจะไม่มีเหลืออีกต่อไป
เมื่อสองวันมานี้ คุณสำเริง คำพะอุ ผู้ที่นักข่าวจำนวนไม่น้อยให้ความเคารพนับถือในฐานะนักข่าวอาวุโส ได้เขียนบทความลงในราชดำเนินอเวนิวส์โดยมีใจความบางตอนที่สะท้อนให้คนในวงการนักข่าวกลับมาทบทวนตัวเองโดยด่วน โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า “ท่านชูชาติ (ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา) เขียนไว้ว่า นักข่าวหญิงตะคอกถามผู้บัญชาการตำรวจนครบาลว่า ตำรวจมีหลักฐานอะไรจึงจับกุมนายไชยอมร หรือแอมมี่ แก้ววิบูลย์พันธุ์ในข้อหาวางเพลิงเผาทรัพย์ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลตอบว่า ตำรวจมีหลักฐานยืนยันได้....นักข่าวคนเดิมก็ยังคงถามเหมือนเดิมว่ามีหลักฐานอะไร ทำไมไม่เอามาเปิดเผย ตะคอกถามอยู่หลายครั้ง ฟังแล้วรู้สึกเศร้าใจ ไม่รู้ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างไร จึงพูดจาสุภาพเรียบร้อยไม่เป็น และไม่รู้เลยหรือว่าไม่มีตำรวจที่ไหนจะนำหลักฐานในสำนวนมาบอกให้สื่อมวลชนทราบ นี่คือมารยาทและคุณภาพของผู้สื่อข่าว สื่อมวลชนไทย”
สิ่งที่คุณสำเริงยกตัวอย่างคำพูดของคุณชูชาติที่สะท้อนความมารยาททรามของนักข่าวรายดังกล่าวนั้น คือสิ่งที่บ่งบอกได้ชัดเจนว่าคุณภาพของนักข่าวไทยในยุคนี้ดีหรือเลวเพียงใด และมีข้อเขียนอีกตอนหนึ่งของคุณสำเริงระบุว่า บางสำนัก(ข่าว) ถึงกับเข้าใจผิดคิดว่าการเป็นนักข่าวค่อนข้างจะเป็นคนพิเศษ อยากถามก็ถาม คิดว่าตัวมีเสรีภาพ มีสิทธิที่จะต้องรู้ เอาสิ่งที่ตนรู้นั้นไปให้ประชาชนรู้อีกต่อหนึ่ง ซึ่งเข้าใจผิด…..เมื่อไม่รู้ก็ถามหาหลักฐาน และเมื่อสำคัญผิดคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ก็ตะคอกถาม
คุณสำเริงเขียนเรื่องนี้อย่างน่าสนใจ และให้ข้อคิดที่ดีมากสำหรับคนที่คิดว่าตัวเองเป็นนักข่าวแล้วยิ่งใหญ่คับฟ้าล้นแผ่นดิน แล้วตบท้ายว่า ฟังให้ดีนะครับ ผมใช้คำว่าสุภาพ เรียบร้อย นะครับ คนละเรื่องกับการพินอบพิเทา นะครับนักข่าว นักหนังสือพิมพ์ต้องมีเกียรติยศมีศักดิ์ศรีนะครับ เว้นเสียแต่ตัวคุณ สำนัก(ข่าว) ของคุณจะทำตัวเป็นขี้ข้ารับใช้ใคร นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ผู้เขียนขออนุญาตปิดท้ายประเด็นข้อเขียนวันนี้ว่า นักข่าวที่ดีก็คือคนที่ทำให้วงการข่าวเจริญ ทำให้สาธารณชนเชื่อถือศรัทธาในคุณค่าของข่าว แต่นักข่าวสารเลวที่อาศัยอาชีพสื่อมวลชนตบทรัพย์ผู้อื่น ทำข่าวด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา ยอมลดตัวรับจ้างเขียนข่าวเสมือนเป็นขี้ข้าของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ตาม คนจำพวกนี้ไม่ใช่นักข่าว แต่เป็นเพียงสุนัขชั้นเลวที่นำหนังราชสีห์มาคลุมเพื่อตบตาผู้ที่รู้ไม่ทัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี