รัสเซีย-จีนเตือนสหรัฐและชาติตะวันตกว่าการแซงก์ชั่นคว่ำบาตรพม่ารังแต่จะนำความหายนะมาสู่พม่าอาจนำพาไปสู่สงครามกลางเมืองเต็มรูปแบบ
สำนักข่าวอินเตอร์แฟกซ์ของรัสเซียรายงานว่ารัสเซียแสดงท่าทีคัดค้านการคว่ำบาตรครั้งใหญ่ในพม่าว่า
“การข่มขู่และการกดดันรวมถึงการแซงก์ชั่นทางการพม่านั้นไม่สร้างสรรค์ ไม่มีอนาคต และ#อันตรายมากเพราะการทำเช่นนั้นจะผลักดันพม่าไปสู่สงครามกลางเมือง และการขัดแย้งเต็มรูปแบบ”
ในขณะเดียวกันสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน “ย้ำจุดยืนเดิมคือคัดค้านการแทรกแซงพม่าที่ไม่เหมาะสม จีนสนับสนุนข้อเสนอของบรูไนและมาเลเซียที่จะจัดให้มีการประชุมสุดยอดผู้อาเซียน#เพื่อหารือเรื่องวิกฤติในพม่า”
ในเวลาเดียวกันนักการทูตสิงคโปร์เสนอให้นายโก๊ะ จก ตง อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์แสดงบทเป็นท้าวมาลีวราช เป็นคนกลางพูดคุยเจรจาหารือกับทุกฝ่ายเพื่อให้ได้ข้อยุติแบบสงบ
และสันติ
ส่วนประเทศไทยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาได้บอกตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ใหม่ๆ ว่า พลเอกมิน อ่อง หล่าย ผู้นำการยึดอำนาจในพม่า ได้เขียนจดหมายมาถึงนายกรัฐมนตรี “ชี้แจงถึงเหตุผลที่ต้องยึดอำนาจตามรัฐธรรมนูญและขอให้ไทยสนับสนุนประชาธิปไตยในพม่า..”
นายกฯบอกกับผู้สื่อข่าวไทยว่าในฐานะเพื่อนบ้านใกล้ชิดติดกันประเทศไทยยินดีสนับสนุนการปกครองแบบประชาธิปไตยอยู่แล้ว เมื่อนักข่าวถามว่านายกฯตอบเขาไปว่าอย่างไร? ก็ได้คำตอบว่า..“เขาเขียนมาแจ้งเพื่อทราบถึงกระบวนการประชาธิปไตยของเขา ซึ่งก็สนับสนุนอยู่แล้ว..ไม่ได้ให้ตอบ”
นี่คือนักข่าวไทยที่ตั้งคำถามแบบถอยหลัง ไม่ยอมถามให้คืบหน้าซึ่งต่างกับนักข่าวตะวันตกที่พอเขาเห็นเรื่องประท้วงและการรบราฆ่าฟันกันซบเซาเบาบางลงเขาก็หยิบประเด็นใหม่ขึ้นมาให้เป็นข่าวคืบหน้าทำ “propaganda” หรือเดินหน้าหาเรื่องทำปฏิบัติการข่าวแง่มุมใหม่
โดยเฉพาะนักข่าวตะวันตกและนักข่าวต่างชาติรวมถึงนักข่าวไทยที่รับใช้สหรัฐอเมริกาในเรื่องโฆษณาชวนเชื่อที่เรียกว่าปฏิบัติการข่าว อาทิ เหตุการณ์วิกฤติในพม่า พอเรื่องประท้วงรุนแรง
เรื่องฆ่ากันตายซบเซาเบาบางลงเขาก็ยกประเด็นใหม่ขึ้นดราม่า สร้างเรื่องขึ้นมาใหม่ให้เป็นที่สนใจ
ถ้าติดตามข่าวพม่าจากคนที่รู้จริงและติดตามข่าวหลายมิติ จะพบว่าการประท้วงในพม่าได้ทุเลาเบาบางลงมากแล้ว ผู้ประท้วงก็แผ่วลงไปเหลือแค่หลักร้อยในเมืองใหญ่เช่น ย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ แต่ต่างจังหวัดห่างไกลออกไปมีบางเมืองที่มีผู้ร่วมชุมนุมกันเป็นหลักพันแต่หลายวันที่ผ่านมาไม่มีเหตุการณ์รุนแรงถึงกับฆ่ากันตายจำนวนมาก
ปฏิบัติการข่าวตะวันตกและสื่อเอเชียรวมทั้งไทยที่รับใช้ตะวันตกรับใช้อเมริกาเริ่มเปิดประเด็นใหม่ อาทิ เรื่องทหารพม่าปะทะกับทหารของกลุ่มชาติพันธุ์ ทหารพม่าเผาหมู่บ้านกะเหรี่ยงบ้าง ปะทะกับกองทัพกู้ชาติคะฉิ่น ฯลฯ
ส่วนปฏิบัติการทางด้านการเมืองก็สร้างข่าวเรื่องรับเงินบริจาคช่วยเหลือการประท้วงต่อต้านคณะผู้บริหารแห่งรัฐ (SAC) รับเงินบริจาคประมูลขายของสะสมเพื่อช่วยเหลือ “กรรมการรัฐสภา” หรือ CRPH (Committee Representing PyidaungsuHluttaw) เป็นการบังหน้าเพราะ SAC สงสัยว่าเป็นการฟอกเงินที่รับมาจากต่างชาติเพื่อเคลื่อนไหวทางการเมือง
อาทิตย์ก่อนทางการจับหญิงสาวชาวทวายได้หนึ่งคนที่รับเงินบริจาคอ้างว่านำไปช่วยเหลือการประท้วงแต่เจ้าหน้าที่ตั้งข้อหาว่าเป็นการฟอกเงินที่รับมาจากต่างชาติ
แต่ปฏิบัติการข่าวตะวันตกเสนอเป็นข่าวใหญ่ว่าการประท้วงบนถนนเสี่ยงเกินไป ผู้ประท้วงชาวพม่าเลยมาในรูปแบบใหม่รับเงินบริจาคออนไลน์หรือประมูลขายของสะสมเพื่อนำเงินมาช่วย CRPH ที่จัดตั้งโดยสมาชิกพรรคเอ็นแอลดีของนางออง ซาน ซู จี และทำปฏิบัติการข่าวยุยงให้เยาวชนพม่าเลียนแบบนักประท้วงก่อจลาจลในฮ่องกงและ “สามกีบสามสัสไทย” ที่ทำลายวัฒนธรรมประเพณีทำลายทุกอย่างที่ไม่ได้ดังใจ
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานข่าวว่าผู้ประท้วงต่อต้านรัฐประหาร หนุ่มสาวพม่าออกมาคว่ำบาตรเทศกาลสงกรานต์ (เทศกาลติงยาน) โดยการใช้สีแดงพ่นบนถนน ป้ายรถประจำทางว่า “คว่ำบาตรสงกรานต์..ที่เลือดยังไม่ทันแห้ง..” ...“คว่ำบาตรสงกรานต์เพื่อไว้ทุกข์ไว้อาลัยให้ครอบครัวที่สูญเสียผู้สละชีพเพื่อชาติ..”
ความจริงแล้ววันสงกรานต์หรือเทศกาลติงยานในพม่าเป็นวันสำคัญ เป็นเทศกาลขึ้นปีใหม่ที่ฉลองกันยิ่งใหญ่ถึงห้าวันห้าคืน แต่ปีนี้เนื่องจากโควิด-19ระบาดใหญ่ทางการเลยอนุญาตให้รดน้ำดำหัวกันพอประมาณ ไม่ให้ตั้งเวทีมีดนตรีมีนักร้องดาราเหมือนเวลาปกติ
แต่นักปฏิบัติการข่าวตะวันตกฉวยโอกาสทำ propaganda คว่ำบาตรเอาหน้า ที่สำคัญผู้ประท้วงชาวพม่าที่เรียกตัวเองว่า “ขบวนการอารยะขัดขืน” เริ่มทำตัวเป็นขบวนการอนาธิปไตย ใช้ภาษากิริยาหยาบคายถ่อยสถุลแบบสามกีบในไทยที่พ่นสีแดงบนถนน ตามป้ายรถประจำทางว่า“อย่าฆ่าประชาชนเพราะได้เงินเดือนน้อยกว่าค่าอาหารหมา..”
#อาหารหมากับชูสามนิ้วเป็นเครื่องหมายการค้าของผู้ประท้วงคนรุ่นใหม่ที่ฝังใจล้มล้างทุกสิ่งอย่างที่เป็นของดีในประเทศไทย”
ผู้ประท้วงชาวพม่าถอดแบบความถ่อยสถุลรุนแรงจากสามกีบไทยเพราะมีแรงดลใจมาจากการเมืองและเรื่องผลประโยชน์ ที่ต่อต้านเผาทำลายทรัพย์สินโรงงานของจีนซึ่งคู่ขัดแย้งคู่แข่งของอเมริกาที่เรียกกันว่าสงครามตัวแทนหรือ proxy war กองทัพเยาวชนมัณฑะเลย์รณรงค์ต่อต้านสินค้าจีน นำเสื้อผ้าของใช้ที่ซื้อมาเองเผาทำลาย
ผู้ประท้วงชาวพม่าที่เรียกว่าอารยะขัดขืนได้ความคิดและพฤติกรรมรุนแรงมาจากไหน ถ้าไม่ใช่จากตะวันตกโดยเฉพาะอเมริกา เพราะถ้าเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในพม่าผู้ที่ได้รับผลกระทบรายใหญ่คือ จีน อาเซียน และไทย เพราะเป็นเพื่อนบ้านใกล้ชิดและเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ในพม่า
ดูจากสถิติการลงทุนในพม่าตั้งแต่ ค.ศ 1989ถึง 2020 ข้อมูลการลงทุนจากต่างประเทศในพม่ามีมูลค่าการลงทุนรวม $87,646 ล้าน
10 อันดับแรกคือ 1) สิงคโปร์เกินกว่า $24,112 ล้าน 2) จีน $21,527.2 ล้าน 3) ไทยมากกว่า $11,430 ล้าน 4) ฮ่องกง $9,756.77 ล้าน
5) อังกฤษกว่า $4,966 ล้าน 6) เกาหลีใต้$4,061.97 ล้าน 7) เวียดนามกว่า $2,224.6 ล้าน 8) ญี่ปุ่น $1,975.78 ล้าน 9) มาเลเซีย $1,969.4 ล้าน 10) เนเธอร์แลนด์ $1,572 ล้าน+
#ส่วน USA มีการลงทุนในพม่าเพียง $572 ล้านเท่านั้น สิงคโปร์ จีน ชาติอาเซียนเอเชียลงทุนในพม่าชาติละสองหมื่นสามหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนอเมริกาลงทุนในพม่าเพียงหลักร้อยล้านดอลลาร์ อเมริกาใช้เงินในการ propaganda มากกว่าการลงทุนด้วยซ้ำ
อเมริกาจึงกระสันจะคว่ำบาตรแซงก์ซั่นให้เกิดสงครามกลางเมืองในพม่า เพราะถ้าเกิดขึ้นได้จะฉิบหายทั้งเอเชีย
แต่เมื่อรัสเซีย จีน อาเซียน โดยเฉพาะสิงคโปร์ซึ่งเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดไว้ในพม่ามีท่าทีขัดขวาง ทำให้ความพยายามสร้างสงครามนอกบ้านของอเมริกาจึงมีทีท่าว่าจะเป็นหมัน
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี