เอกชนรายใหญ่ๆ ของประเทศเริ่มตบเท้าออกมาให้ความเห็นแบบแรงๆ ต่อรัฐบาล ถึงเรื่องการจัดการวัคซีน ที่ไม่ได้เหนือความคาดหมายว่าหลังสงกรานต์ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นจะนำไปสู่การกดดันของภาคเอกชนและประชาชนต่อเรื่องวัคซีน ขณะที่ดูเหมือนรัฐบาลยังหาจุดสมดุลระหว่างการประคองเศรษฐกิจและการป้องกันการติดเชื้อไม่ลงตัว ถ้าอาจยังหาไม่พบหรือไม่ลงตัว มีโอกาสจะพังทั้งสองด้านหรือไม่ ?
ตั้งแต่สงกรานต์มาพบยอดผู้ป่วยเกิน 1,000 คน มาตั้งแต่วันที่ 14 เมษายน ต่อเนื่องจนถึงเมื่อวานเป็นวันที่ 8 แล้ว โดยวันที่ 18 เมษายน ยอดผู้ติดเชื้อสูงไปแตะ 1,700 คนต่อวันแล้ว และเฉพาะใน 8 วันที่ผ่านมามียอดผู้ติดเชื้อรวม 12,065 คน จากยอดผู้ติดเชื้อรวมตั้งแต่ปีที่แล้ว 4 หมื่นกว่าคนซึ่งนับว่าเป็นอัตราเร่งที่ก้าวกระโดดมาก แม้ยอดผู้เสียชีวิตรวมตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงตอนนี้จะมีเพียง 110 คน ซึ่งยังนับว่ากระบวนการรักษายังทำได้ดีแต่หากคนไข้มากกว่านี้ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ที่น่ากลัวคือตัวเลขที่กล่าวมาเป็นตัวเลขการพบผู้ติดเชื้อที่กระจายไปทั่วประเทศทุกจังหวัดแล้ว โดยพบว่าจังหวัดเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอย่างกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และชลบุรี อันเป็นจังหวัดคาดหวังในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลักจากภาคการท่องเที่ยว แต่กำลังประสบปัญหาหนักจากยอดผู้ติดเชื้อที่ทวีคูณในอัตราก้าวกระโดด
แนวทางการจัดการของภาครัฐกำลังถูกตั้งคำถามถึงความพร้อมและทิศทางที่ชัดเจนว่า จะมุ่งสู่เป้าไหนกันแน่ เริ่มจาก เรื่องด่วนสุดตอนนี้คือ การรักษาชีวิตผู้ป่วย โดยขณะนี้สาธารณสุข ยังไม่สามารถขับเคลื่อนให้มีการประสานงานทั้งระบบ อาทิ การบริหารจัดการเตียงผู้ป่วยที่จะรับผู้ติดเชื้อเข้าไปดูอาการและให้การรักษา ซึ่งเมื่อดูตัวเลขโดยรวมของเตียงที่มีในระบบก็เหมือนจะเพียงพอต่อความต้องการ แต่กลับมีผู้ติดเชื้อที่ยังไม่สามารถหาเตียงได้ทั้งในส่วนของโรงพยาบาล และโรงพยาบาลสนาม ซึ่งก็เริ่มมีวิพากษ์วิจารณ์ว่า ที่จริงแล้วรัฐบาลได้ทำการนับรวมเตียงของเอกชนแบบประเมินเท่านั้น แต่ไม่ได้มีการประสานงานขอรวมเตียงกับโรงพยาบาลเอกชน ?
แต่ที่น่ากังวลกว่านั้นคือ เรื่องยารักษา โดยในห้วง 2-3 วันที่ผ่านมา เริ่มมีเสียงจากกลุ่มแพทย์ผู้ปฏิบัติหน้าที่รักษาผู้ป่วยโควิด ออกมาตัดพ้อเรื่องยาต้านไวรัสฟาวิพิราเวียร์ ว่ามีจำนวนจำกัด และต้องเลือกจ่ายให้กลุ่มคนไข้ที่มีอาการหนัก ทั้งๆที่หากมีปริมาณมากเพียงพอก็จะสามารถจ่ายให้คนไข้ก่อนมีอาการหนักได้ โดยข่าวรายงานว่าทั้งประเทศมียาทั้งหมดเพียง 5 หมื่นเม็ดเท่านั้น ซึ่งทำให้ รมว.สาธารณสุข ต้องออกมาพูดเรื่องการจัดซื้อเพิ่มเติม โดยมีการแถลงว่า จะมีการจัดซื้อราว 2 ล้านเม็ดเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานในช่วงสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้ แต่ก็ยังไม่สามารถสยบเสียงวิจารณ์ของประชาชนได้ทั้งหมด โดยยังมีการตั้งคำถามว่าที่ผ่านมาไม่ทราบเลยหรือว่า ยาที่จำเป็นต่อผู้ติดเชื้อและมีความสามารถในการรักษาชีวิตของประชาชนกำลังขาดแคลนเหตุใดจึงไม่มีการนำเข้าให้เพียงพอหรือดำเนินการผลิตในประเทศเพื่อลดต้นทุนทั้งยังสามารถส่งออกได้ด้วย
ดูเหมือนที่บอกว่ามีแผนการรองรับสถานการณ์ล่วงหน้าที่เตรียมการมาเป็นปีๆ จะไม่มี หรือมีแต่ไม่ได้ผลหรือไม่ ? อย่างไรก็ตาม ยังมีสถานการณ์อีกด้านที่รัฐบาลยังต้องประคองไว้คือ การป้องกันและการจัดการการแพร่ระบาด ตลอดจนการประคองเศรษฐกิจ โดยจากการแพร่ระบาดรอบล่าสุดที่มาจากสถานบันเทิงนั้น ในเบื้องต้นมีการออกข้อกำหนดฉบับที่ 19 และ 20 ที่ว่าด้วยการควบคุมการเปิด-ปิด สถานบันเทิง ร้านอาหาร ตลอดจนพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาด ซึ่งก็มีทั้งเสียงตอบรับที่ดีว่าเป็นทางออกที่ยังไม่ทำให้ประชาชนยากลำบากมากนัก แต่อีกมุมหนึ่งก็วิจารณ์ว่าไม่มีความเด็ดขาดในการบริหารสถานการณ์ นอกจากนี้ ยังมีมติครม.เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา มีการขยายกลุ่มคนในโครงการเราชนะอีก 2.4 ล้านคน และขยายเวลาการใช้ไปอีก 1 เดือน โดยใช้งบประมาณ 3 พันล้านบาท จากเดิมที่มีคนได้รับ 31.1 ล้านคน เป็น 33.5 ล้านคน
จากสภาวะเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้มีผลกระทบเป็นวงกว้าง การตัดสินใจไม่ล็อกดาวน์ของนายกฯ การตัดสินใจจ่ายเงินเพิ่มในโครงการต่างๆ ก็เพราะนายกฯยังลังเลในการตัดสินใจในการหาวิธีที่จะประคองเศรษฐกิจ แต่สิ่งที่ทำนั้นแก้ปัญหาที่ได้ถูกจุดเหมาะกับเวลาหรือไม่? และอะไรจะเป็นสมดุลที่แท้จริงในการประคองเศรษฐกิจและการควบคุมโรค
นอกจากนั้นแล้วเริ่มมีการพูดถึงว่าสาเหตุที่แท้จริงของการแพร่ระบาดในรอบนี้เป็นผลมาจากการจัดหาวัคซีนที่ไม่ทันต่อสถานการณ์ หลังจากที่มีการพุ่งเป้าไปที่คลัสเตอร์สถานบันเทิงที่ทำให้มีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วไปทั่วประเทศ ประกอบกับการเดินทางข้ามจังหวัดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ต้นเหตุที่แท้จริงถูกมองว่ามาจากวัคซีนมาไม่ทัน และดำเนินการฉีดไม่รวดเร็วพอจะหยุดการแพร่กระจายในรอบนี้ รวมทั้งคุณภาพของวัคซีนที่ยังเป็นที่ถกเถียงว่าวัคซีนที่รัฐบาลเลือกใช้ทั้งสองตัวนั้นมีประสิทธิภาพมากพอจะเป็นเครื่องป้องกันโควิดให้กับประชาชนหรือไม่ ? จนทำให้เกิดคำถามว่าเหตุใดรัฐบาลจึงไม่จัดหาวัคซีนเพิ่มเติมที่ได้รับการรับรองจากนานาชาติ อาทิ ไฟเซอร์ หรือโมเดอร์นา หรือหากรัฐบาลไม่สามารถจัดได้ก็ไม่ควรห้ามให้เอกชนเป็นผู้จัดหาใช่หรือไม่ ? เพราะเอกชนหลายเจ้าก็มีศักยภาพมากพอในการนำเข้าวัคซีนเพื่อจำหน่าย
เรื่องนี้ถูกกระตุ้นมาตลอดจากประชาชน จนมาถึงคิว เอกชนรายใหญ่ของประเทศที่ทยอยกันออกมาให้ความเห็นที่น่าสนใจกับประชาชนในตอนนี้
อย่างกรรมการบริหารผู้จัดการใหญ่ (CEO) ของเอสซีจี ในฐานะบริษัทชั้นนำทางเศรษฐกิจของประเทศที่มีทั้งพนักงานในเครือที่มากมายทั่วประเทศ และตัวเลขทางเศรษฐกิจอันมีผลต่อจีดีพีของประเทศ กับอีกในฐานะบทบาทของผู้ลงทุนในการสนับสนุนการพัฒนาวัคซีนร่วมกับมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด เพื่อให้คนไทยได้มีวัคซีนเร็วขึ้น คือคนที่เคยออกมาพูดก่อนหน้านี้แล้วว่าประเทศไทยจัดอยู่ในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบทางสุขภาพไม่มากแต่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจมากเพราะเราคือประเทศที่เศรษฐกิจพึ่งพาการท่องเที่ยว และก็เคยเสนอแนวทางเรื่องการรักษาสมดุลไว้ก่อนหน้านี้แล้ว จนตอนนี้เรื่องผลกระทบเรื่องสุขภาพเราก็เริ่มคุมไม่อยู่แล้วจากวันแรกที่เขาเคยแนะนำ
ความเห็นของภาคเอกชนที่เข้าใจรัฐบาลต่อปัญหาการระบาดรอบใหม่นี้ว่ารุนแรง โดยถ้าไม่ทำอะไรเลยก็จะยิ่งระบาด แต่หากปิดระบบเศรษฐกิจอีกรอบก็จะทำให้ทุกฝ่ายขาดความมั่นใจอีก ซีอีโอคนดังกล่าว ก็ได้ให้แนวคิดไว้อย่างน่าสนใจว่า หากเราให้วัคซีนไว้ถึงระดับ 70% (จากที่รัฐตั้งเป้าจะฉีดไว้เดิมที่ 60% ) ก็จะทำให้เปิดรับนักท่องเที่ยวได้เร็วขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยหลักของเศรษฐกิจไทยและจะชิงความได้เปรียบจากนักท่องเที่ยวจากประเทศที่ฉีดวัคซีนแล้วอย่างในโซนยุโรปที่ต้องการมาเที่ยวประเทศไทย
อีกแนวคิดที่นับว่าน่าสนใจของภาคเอกชน หากแต่เป็นคนละด้านกับที่รัฐบาลวางแผนไว้ นั่นก็คือแนวทางในการฉีดวัคซีนที่หากเราเอาตามยุโรปที่ฉีดวัคซีนกับผู้สูงอายุก่อน อาจไม่ตอบโจทย์สถานการณ์ในประเทศไทยเพราะผู้สูงอายุของไทยเองส่วนใหญ่ไม่ออกจากบ้าน คนออกจากบ้านคือคนหนุ่มสาวที่ออกมาทำงานโดยเฉพาะในภาคการผลิตและภาคบริการที่หากคนกลุ่มนี้ได้รับวัคซีนก่อนจะช่วยได้ทั้งการป้องกันเอาเชื้อไปติดคนที่บ้านที่เป็นผู้สูงอายุและจะสามารถเริ่มกระบวนการทางเศรษฐกิจในภาคต่างๆ ได้เร็วขึ้นด้วย
นอกจากนี้มองว่าการฉีดวัคซีนไม่ควรไปที่โรงพยาบาลแต่ควรจะเข้าหาประชาชน รวมทั้งควรเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมช่วยเพื่อการกระจายวัคซีนให้เร็วขึ้น
ซึ่งสอดคล้องกับความคิดของเจ้าสัว ซีพี ที่นานๆ จะออกมาพูดแนะรัฐบาลที ก็ได้ออกมาให้ความเห็นในทำนองเดียวกัน ที่อยากให้รัฐเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามาช่วยจัดการเรื่องวัคซีน เพื่อให้กระบวนการป้องกันโรคได้เข้าถึงประชาชนได้เร็วขึ้น การออกมาของเอกชนรายใหญ่ตอนนี้ที่พูดกับรัฐบาลดังๆ ให้ประชาชนได้ยินด้วยนี้ จึงสะท้อนผลและความกดดันกลับไปตั้งคำถามที่ภาครัฐ ทั้งศบค. และกระทรวงต่างๆโดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุขที่กำกับทั้งองค์การเภสัช อย. และโรงพยาบาลรัฐ ทั้งหลายว่าจะปรับทิศทางการฉีดวัคซีนให้เข้ากับบริบทประเทศไทยได้หรือไม่ ?
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนนายกฯ จะตอบรับความเห็นของภาคเอกชนแล้ว โดยให้หาวัคซีนเพิ่มอีก 35 ล้านโดส รวมของเดิมเป็น 100 ล้านโดส ซึ่งจะทำให้ยอดผู้ได้รับเพิ่มเป็น 70% จากเดิม 60% ของประชากรทั้งหมด นอกจากนี้ก็เริ่มมีแนวคิดที่จะให้ภาคเอกชนช่วยรัฐบาลจัดหาให้กับพนักงานลูกจ้างของตนเองอีกประมาณ 10 ล้านโดส จากในยอดใหม่ 35 ล้านโดส แต่สิ่งที่รอการตัดสินใจต่อไปคือ การให้โอกาสให้ภาคเอกชนโดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชนจัดหาอีก 20-25 ล้านโดส จากยอดใหม่ใหม่ 35 ล้านโดส เพื่อให้ประชาชนที่มีกำลังซื้อ เข้าถึงวัคซีนด้วยตนเองผ่านโรงพยาบาลเอกชนที่มีความพร้อม รวมถึงการกระจายวัคซีนตามทิศทางใหม่ที่ภาคเอกชนเสนอเพื่อเปิดรับภาคการผลิตและการท่องเที่ยวให้เดินหน้าก่อนได้ ซึ่งส่วนนี้ยังต้องรอการตัดสินใจของรัฐบาล แต่คงต้องไวเพราะตอนนี้เรากำลังเดินตามปัญหาแล้ว
“คมดาบ ยิ่งฝนยิ่งคม มนุษย์ไยมิใช่เป็นเช่นกัน
มนุษย์มากหลายในโลกนี้ ไยมิใช่เติบใหญ่ในท่ามกลางความปวดร้าวขมขื่น”
โกวเล้ง มังกรเมรัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี