วิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของ “โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19)” ที่สร้างหายนะให้มวลมนุษยชาติตั้งแต่ปลายปี 2562 เรื่อยมาถึงปี 2563 ตลอดทั้งปีจนถึงปี 2564 ซึ่งพบว่าประชากรทั่วโลกติดเชื้อไวรัสร้ายนี้กว่า 150 ล้านคน เสียชีวิตกว่า 3.16 ล้านคน โดยที่ประเทศไทยมีผู้ป่วยสะสม 68,984 ราย ตาย 245 ราย
แน่นอนมาตรการทางสาธารณสุขตอกย้ำเสมอว่าให้ประชาชนป้องกันตนเองด้วยการสวมหน้ากากอนามัย ทานร้อน ช้อนกลาง ล้างมือบ่อยๆ เว้นระยะห่างเพื่อลดอัตราการแพร่ระบาด แต่ตัวเลขการแพร่ระบาดนั้นแสดงออกมาชัดเจนว่าพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มากที่สุดจากกรุงเทพมหานคร และเกิดการแพร่ระบาดไปทั่วประเทศจากการเคลื่อนย้ายประชาชนช่วงเทศกาลตามประเพณีซึ่งตัวเลขผู้ป่วยสะสมของกรุงเทพมหานครในการระบาดครั้งล่าสุดจากคลัสเตอร์สถานบันเทิงย่านทองหล่อนี้มีผู้ป่วยสะสมอยู่ที่ 12,005 ราย
นี่คือข้อเท็จจริงที่ “ทหารแก่-พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐบาลต้องยอมรับโดยดุษณี”
หนทางเดียวที่จะไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเยี่ยงนี้อีก รัฐบาลทหารแก่ต้องกล้าปฏิรูปกรุงเทพมหานครให้ได้กทม.ไม่ใช่ประเทศไทยลดความแออัดและการย้ายถิ่นฐานของประชากร โดยอาศัยวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เป็นโอกาสในการดำเนินการ
ข้อเท็จจริงที่สองที่ทหารแก่และคณะต้องยอมรับความจริงก็คือท้องถิ่นยังห่างไกลความเจริญทั้งด้านสาธารณูปโภค การศึกษาและด้านความเป็นอยู่ ประชาชนย้ายถิ่นฐานเข้ากรุงเทพมหานครเพื่อปากท้องโดยเฉพาะเนื่องจากในต่างจังหวัดนั้นไม่มีแหล่งจ้างงาน ไม่มีการลงทุน ไม่มีแหล่งการศึกษาระดับสูง ทว่า สิ่งต่างๆ เหล่านั้นแออัดอยู่ในกรุงเทพมหานคร จนภาพกรุงเทพมหานครคือประเทศไทยไปเสียแล้ว
ในอดีตรัฐบาลพลเรือนทำได้แค่เอาความฝันความหวังลมๆแล้งๆไปขายไปแจกให้ประชาชนหลงใหลได้ศรัทธาได้มอบอำนาจให้แต่ไม่ได้นำฝันหวังศรัทธาและเศรษฐกิจที่มั่งคั่งยั่งยืนไปดำเนินการ ดังนั้นหากวันข้างหน้าจะมีเชื้อไวรัสกลายพันธุ์เป็นโรคระบาดอย่างใดอย่างหนึ่งอีกหรือ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019 (โควิด-19)กลับมาแพร่ระบาดอีกระลอกเพราะอย่างไรเสียเชื้อไวรัสที่กระจายไปทั่วโลกครั้งนี้ก็จะอยู่บนโลกนี้ร่วมกับมวลมนุษยชาติอย่างแน่นอน หากพลเอกประยุทธ์กล้าที่จะนำความมั่งคั่งยั่งยืนไปสู่ประชากรในท้องถิ่นด้วยการสร้างงานกระจายความเจริญ นำทั้งการศึกษา การจ้างงานที่พักอาศัยและที่ดินทำกินไปสู่ประชากรในท้องถิ่น กรุงเทพมหานครก็จะกลายเป็นแค่เมืองศิวิไลซ์เมืองหนึ่งไม่ใช่ประเทศไทย
พลเอกประยุทธ์ต้องใจกว้างในการบริหารประเทศกล้านำนโยบายของพรรคร่วมรัฐบาลที่ก่อประโยชน์แก่ประชาชนและการพัฒนาชาติมาปฏิบัติในฐานะเป็นรัฐบาลเดียวกัน อย่างนโยบาย “มอบโฉนดที่ดินทั่วไทย นำสุขคลายทุกข์” ของพรรคประชาธิปัตย์ ที่แจกโฉนดที่ดินให้เกษตรกรที่ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเองรายละ 5-10 ไร่ สร้างอาชีพทำกินของตนเองหรือสนับสนุนให้เกษตรกรปลูกพืชชีวมวล เพื่อใช้เป็นพลังงานทางเลือกแก่โรงงานไฟฟ้าพลังชีวมวล โดย จัดทำโครงการสาธารณูปโภค สร้างโรงไฟฟ้าชุมชนโดยใช้พืชชีวมวล (ไผ่)เป็นพลังงานทางเลือก มารองรับ โดยให้เอกชนเข้ามาลงทุนดำเนินโครงการโดยมีเงื่อนไขว่า เอกชนผู้ลงทุนจักต้องรับซื้อพืชชีวมวลจากเกษตรกรในพื้นที่เพื่อเป็นพลังงานทางเลือกในการผลิตกระแสไฟฟ้า เกษตรกรเหล่านั้นก็จะมีรายได้ในการดำรงชีวิตดูแลครอบครัวลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ทำให้ท้องถิ่นมีระบบสาธารณูปโภคที่มั่งคั่ง ยั่งยืน ทำให้ทุนต่างชาติสามารถเข้ามาลงทุนในประเทศไทยที่มีสาธารณูปโภคพอเพียงและใกล้แหล่งวัตถุดิบ ซึ่งจะก่อให้เกิดการจ้างแรงงานในท้องถิ่นสกัดกั้นการหลั่งไหลของแรงงานชนบทเข้าสู่กรุงเทพมหานคร เช่นนี้จะไม่พบเห็นคนภาคอีสานหรือภาคใดๆก็ตามย้ายถิ่นฐานย้ายครอบครัวมาประกอบอาชีพขับรถรับจ้างสาธารณะ(แท็กซี่)ในกรุงเทพมหานคร แต่เขาเหล่านั้นสามารถประกอบอาชีพเหล่านี้ในท้องถิ่นตนเองได้เมื่อเกิดธุรกิจการลงทุนเกิดการจ้างงานในท้องถิ่น สังคมครอบครัวก็จะอบอุ่น
เมื่อรัฐบาลให้เกิดการจ้างงานในท้องถิ่นแล้ว จำเป็นต้องให้การศึกษาควบคู่ไปด้วย โดยยกระดับการศึกษาในระดับอุดมศึกษาในท้องถิ่นให้ทัดเทียมและพอเพียงโดยที่ไม่ต้องมีการเคลื่อนย้ายนักเรียนเข้ามาศึกษาในส่วนกลางอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ นอกจากนี้หากรัฐสนับสนุนให้เกษตรกรหรือประชาชนมีบ้านพักอาศัยเป็นของตนเองโดยให้ธนาคารออมสินก็ดี ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรก็ดีเป็นผู้ลงทุนสร้างบ้านในราคาหลังละราว 400,000-500,000 บาท ให้เขาเหล่านั้นผ่อน เชื่อว่าประชากรท้องถิ่นจะเลิกอพยพเดินทางไปทำมาหากินนอกพื้นที่ และจะเกิดการอนุรักษ์หวงแหนภูมิลำเนาที่ทำมาหากิน ไม่ให้นายทุนหรือนักการเมืองขี้ฉ้อบุกรุกแผ้วถางป่าต้นน้ำ หรือรุกที่ดินอุทยานแห่งชาติอย่างแน่นอน เมื่อกรุงเทพมหานครไม่แออัด การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสที่จะเกิดขึ้นอีกก็จะไม่เกิดการเคลื่อนย้ายอย่างมากมายกระจายไปทั่วประเทศจนเป็นวิกฤติอย่างในปัจจุบัน
หากทหารแก่กล้าทำให้เศรษฐกิจ มั่งคั่ง ยั่งยืน ลดความแออัดของกทม.จะขึ้นชื่อว่า “ไทยชนะ” แน่นอน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี