วันอาทิตย์ ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2568

ก็เป็นบทความจาก ศ.ดร.อรรถกฤต ปัจฉิมนันท์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษียาสูบ หลังองค์การอนามัยโลกประกาศแนวทางกำหนดนโยบายภาษีฉบับใหม่ (WHO TECHNICALMANUAL ON TOBACCO TAXPOLICY AND ADMINI-STRATION) เมื่อวันที่ 12 เมษายนโดยสนับสนุนแต่ละประเทศควรใช้ภาษีอัตราเดียวสำหรับสินค้าบุหรี่ เพราะช่วยให้ราคาบุหรี่โดยเฉลี่ยสูงกว่าการใช้ภาษีหลายอัตราถึงร้อยละ 26 และทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ด้านรายได้และการสาธารณสุขได้ดีกว่า
ซึ่ง ศ.ดร.อรรถกฤต ปัจฉิมนันท์ ให้ความเห็นต่อการดำเนินการของกรมสรรพสามิต ว่า องค์การอนามัยโลกเพิ่งประกาศแนวทางการกำหนดนโยบายภาษีบุหรี่ฉบับใหม่ มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของกรมสรรพสามิต รายงานฉบับดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าปัจจุบันมีเพียง 31 ประเทศจากกว่า 180 ประเทศ ที่ยังใช้อัตราภาษีหลายอัตรา โดยประเทศไทยเป็น 1 ใน 8 ประเทศที่ยังแบ่งอัตราภาษีเป็นหลายอัตราตามราคาขายปลีก อีก 7 ประเทศ ได้แก่ บังกลาเทศ อินโดนีเซีย โมซัมบิก ปากีสถาน เมียนมา จอร์แดน และเบลารุส
การใช้ภาษีหลายอัตรา ส่งผลให้ผู้บริโภคหันมาสูบบุหรี่ที่เสียภาษีต่ำเพราะราคาถูกกว่า และยังส่งเสริมผู้ประกอบการบุหรี่ให้ใช้กลยุทธ์การลดราคาบุหรี่เพื่อเสียภาษีในอัตราที่ต่ำลง ดังเช่นที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาทั้งนี้ รายงานฉบับดังกล่าวสนับสนุนให้แต่ละประเทศพิจารณาใช้ภาษีอัตราเดียวสำหรับสินค้าบุหรี่ เพราะช่วยให้ราคาบุหรี่โดยเฉลี่ยสูงกว่าในประเทศที่ใช้ภาษีหลายอัตราถึงร้อยละ 26 และช่วยให้บรรลุวัตถุประสงค์ด้านรายได้และสาธารณสุขได้ดีกว่า
ศ.ดร.อรรถกฤตระบุว่า ในบริบทของประเทศไทย หากมองในแง่ผู้ประกอบการที่มีรัฐวิสาหกิจของรัฐเป็นผู้ผลิตผูกขาดและเป็นผู้ขายรายใหญ่สุด ทำให้ระบบภาษียาสูบไทยไม่พัฒนาเท่าที่ควร เพราะหนึ่งในเป้าหมายของระบบภาษีคือ การปกป้องผู้ประกอบการในประเทศ ยกตัวอย่างแต่เดิมก่อนเดือนกันยายน
2560 ประเทศไทยใช้ระบบภาษีมูลค่าเป็นส่วนใหญ่โดยมีฐานภาษีคือราคาต้นทุน ได้แก่ ราคาหน้าโรงงานและราคานำเข้า ทำให้ผู้ประกอบการพยายามลดราคาต้นทุนลงทุกครั้งที่มีการขึ้นภาษี เพื่อให้เสียภาษีลดลง จนส่งผลกระทบต่อรายได้และนโยบายด้านสุขภาพในช่วงก่อนปี 2560
แต่หลังจาก ปี 2560 ประเทศไทยเปลี่ยนมาใช้ระบบผสมทั้งภาษีตามมูลค่าและตามปริมาณ โดยเปลี่ยนฐานภาษีมูลค่าจากราคาต้นทุนมาใช้ราคาขายปลีก เพื่อให้นโยบายภาษีมีประสิทธิภาพมากขึ้น สอดคล้องกับคำแนะนำในรายงานฉบับดังกล่าวแต่กรมสรรพสามิตกลับกำหนดอัตราภาษีมูลค่า 2 อัตรา เพื่อช่วยการยาสูบแห่งประเทศไทยที่เป็นผู้ประกอบการในประเทศ จนกลายเป็นจุดบอดของโครงสร้างภาษีบุหรี่ในปัจจุบัน
“กระทรวงการคลังควรเปลี่ยนมาใช้ภาษีอัตราเดียวโดยเร็วที่สุดเพราะมีความเรียบง่าย ไม่ซับซ้อนไม่ทำให้เกิดช่องว่างในการลดราคาสินค้า โดยหากกังวลถึงผลกระทบต่อการยาสูบแห่งประเทศไทยโดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19ที่ตลาดมีกำลังซื้ออ่อนแอ ก็ควรกำหนดอัตราภาษีมูลค่าอัตราเดียวที่ไม่ต้องสูงมากในปีนี้ และค่อยๆ ปรับขึ้นไปเป็นขั้นบันไดให้สอดรับกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นไปตามข้อเสนอแนะของรายงานดังกล่าวที่ระบุให้มีการขึ้นอัตราภาษีให้เหมาะสมกับการขยายตัวของเงินเฟ้อและรายได้ของผู้บริโภคอย่างสม่ำเสมอ แต่หากยังคงภาษีหลายอัตราต่อไปก็เชื่อว่าการเติบโตของบุหรี่ที่เสียภาษีในขั้นระดับล่างที่เกิดจากการลดราคาเพื่อเสียภาษีในอัตราที่ถูกกว่าจะยังคงอยู่ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อรายได้สรรพสามิตบุหรี่ที่มีแนวโน้มลดลงและไม่ตอบโจทย์ด้านสุขภาพ รวมทั้งยังไม่ช่วยการยาสูบแห่งประเทศไทยอย่างที่ตั้งใจไว้ด้วย เพราะอัตราภาษียิ่งมีหลายอัตราก็เท่ากับเป็นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการบุหรี่แข่งขันกันลดราคาบุหรี่มาขายเพื่อเสียภาษีในอัตราต่ำสุดนั่นเอง”

เปิดแผน บริการ ระบบขนส่งสาธารณะ วันอาทิตย์ที่ 26 ต.ค.นี้
มีเรื่องเล่าเมื่อ 20 ปีก่อน! 'ดร.ธรณ์' เปิดความทรงจำที่ภูพิงค์ เข้าเฝ้า'พระพันปีหลวง' หลังเหตุสึนามิ
‘อนุทิน’ถึงมาเลเซียแล้ว เตรียมร่วมพิธีเปิดประชุมสุดยอดอาเซียนพรุ่งนี้
'บอดี้สแลม'ยืนถวายอาลัย 'สมเด็จพระพันปีหลวง'ก่อนแสดง (คลิป)
นครบาลเผยเส้นทางเลี่ยง เคลื่อนพระบรมศพ 'สมเด็จพระพันปีหลวง' สู่พระบรมมหาราชวัง

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี