ในบรรดาประเทศทั้งหลายที่ประสบกับวิกฤติโรคระบาดโคบ้าต้องถือว่าประเทศไทยมีเคราะห์ร้ายมากที่สุดประหนึ่งตกอยู่ในเคราะห์ซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น ทั้งระดับประเทศ รัฐบาล ภาคธุรกิจและประชาชน พากันย่อยยับอับจน
17 เดือนผ่านไปแล้ว ก็ยังไม่เคยเห็นแสงสว่างแห่งความหวังว่าเมื่อใดประเทศไทยจะกลับคืนสู่ภาวะปกติเหมือนที่ประเทศต่างๆ เขาเป็นกันอยู่ และหลายประเทศก็กำลังปรับตัวเพื่อนำพาประเทศให้กลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุดและเสียหายน้อยที่สุด
ประเทศไทยติดหล่มปลักอยู่กับการบริหารสถานการณ์โดยบุคคลคณะหนึ่งที่ชื่อว่า ศบค. ซึ่งประกอบด้วยหมอจำนวนหนึ่ง ข้าราชการประจำจำนวนหนึ่ง และรัฐมนตรีจำนวนหนึ่ง แต่โดยผลแห่งกฎหมายนั้นอยู่ภายใต้อำนาจเด็ดขาดของนายกรัฐมนตรีเพียงผู้เดียว
ดังนั้นความสำเร็จหรือล้มเหลว การกลับคืนสู่ภาวะปกติหรือจมดิ่งสู่หายนะจึงเป็นความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรีแต่ผู้เดียวโดยเฉพาะ
สภาพความเดือดร้อนทุกข์เข็ญทั้งแผ่นดินเห็นอยู่เต็มตา ได้ยินกันอยู่เต็มหู จึงขึ้นอยู่กับนายกรัฐมนตรีจะได้เห็น จะได้ยิน และจะคิดอ่านแก้ไขปัญหาให้สำเร็จลุล่วงได้อย่างไรเท่านั้น
ลำพังแต่สถานการณ์โคบ้าเรื่องเดียวก็ดูเหมือนว่าประเทศไทยยังไม่สามารถรับมืออะไรได้เลย สถานการณ์ยังคงทรุดหนักอย่างทั่วด้าน จำนวนผู้ป่วยสะสมมีอัตราส่วนมากกว่าประเทศจีนหลายเท่า จำนวนผู้เสียชีวิตมีอัตราส่วนมากกว่าประเทศส่วนใหญ่ในโลก ยกเว้นสหรัฐและอินเดีย
เทียบไม่ได้กับประเทศอาเซียนอีก 9 ประเทศ ซึ่งได้กลับสู่ภาวะปกติโดยทั่วไปแล้ว จะมีการแพร่ระบาดก็เล็กน้อยและอยู่ในสภาพที่ควบคุมได้
ลักษณะที่เหมือนกันของประเทศที่ประสบความสำเร็จก็คือในเรื่องการรับมือกับโคบ้านั้นไม่มีชาติใดยินยอมให้มีการทุจริต ฉ้อฉล บิดเบือนการใช้อำนาจ หรือไม่ใส่ใจในความเดือดร้อนทุกข์เข็ญของประชาชนเลย มีแต่ประเทศไทยของเราที่ยังดำรงเหตุแห่งวิกฤติตามที่ปรากฏในบทพระราชปรารภของรัฐธรรมนูญทุกประการ
ลำพังปัญหาการระบาดของโคบ้าก็เหลือบ่ากว่าแรงนักหนาถ้าหากว่ายังทำกันดังเช่นปัจจุบันนี้ แต่ประเทศไทยกลับถูกเคราะห์ซ้ำกรรมซัดหนักกว่าประเทศอื่นๆ เพราะยังมีอีกสามวิกฤติที่กำลังกระหน่ำซ้ำเติมประเทศชาติอยู่อย่างรุนแรง ซึ่งเป็นเรื่องที่ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศจะต้องทำความรู้ความเข้าใจร่วมกันเพื่อรับมือกับวิกฤติทั้งหลาย ป้องกันไม่ให้สิ้นชาติสิ้นแผ่นดิน หรือเกิดสงครามกลางเมืองขึ้น
วิกฤติที่หนึ่ง คือการเผชิญหน้ากับการล่าอาณานิคมแบบใหม่ ที่มุ่งหมายสร้างความแตกแยกแบ่งแยกแผ่นดินออกเป็นหลายส่วนแล้วตั้งรัฐบาลหุ่นขึ้นมาเป็นขี้ข้าต่างชาติ ซึ่งกำลังทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน เดชะบุญที่ประชาชนส่วนใหญ่รู้เท่าทันจึงทำให้การเผชิญหน้านี้มีพลังและสามารถหยุดยั้งนักล่าอาณานิคมได้ไม่มากก็น้อย แต่ก็ยังต้องขับเคี่ยวต่อสู่กันต่อไป
วิกฤติที่สอง คือวิกฤติทางการเมือง ทั้งในสภาที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งช่วงชิงผลประโยชน์ส่วนตัว โดยมีประเทศชาติและประชาชนเป็นผู้รับเคราะห์กรรม ส่วนนอกสภาก็เผชิญหน้ากับขบวนการล้มเจ้าที่ไม่มีใครรับผิดชอบในการจัดการปัญหานี้ให้เสร็จสิ้นไป ดูประหนึ่งว่ามีความพยายามที่จะเลี้ยงไข้เพื่อค้ำจุนอำนาจทางการเมืองของบางกลุ่ม
วิกฤตินี้กำลังจะไปเชื่อมโยงกับสถานการณ์ในพม่าและกำลังยกระดับเป็นหน่วยจรยุทธ์ในเมืองตามที่เคยประกาศไว้และได้เกิดเหตุให้เห็นเป็นระยะแล้ว ดังเช่นล่าสุดการปะทะกับเจ้าหน้าที่ด้วยอาวุธและระเบิดในบริเวณใกล้เคียงกับศาลอาญา
นอกจากนั้นประชาชนทุกภาคส่วน ทุกสี ทุกฝ่ายที่ตาสว่างขึ้นเห็นต้นเหตุเภทภัยปัญหาใหญ่ของชาติบ้านเมืองว่าเกิดจากขบวนการกังฉินที่ปล้นชาติปล้นแผ่นดินไม่รู้จักอิ่มกำลังก่อตัวรวมกันเพื่อกวาดล้างพวกกังฉินออกจากอำนาจอยู่ในขณะนี้
วิกฤติที่สาม เป็นวิกฤติทางด้านเศรษฐกิจซึ่งรวมถึงวิกฤติทางการเงินที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากโรคระบาดโคบ้ากิจการทั้งหลายปิดตัวเองลงอย่างต่อเนื่อง ประชาชนตกงานไม่มีรายได้หรือรายได้ลดลง คนทั้งประเทศเริ่มทำมาหากินไม่ได้ ในขณะเดียวกันมีการก่อหนี้สินให้กับประเทศชาติจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์
มิใช่การกู้มาเพื่อการลงทุน แต่เป็นการกู้มาแจก ซึ่งไม่มีผลในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของชาติเลย จนขณะนี้ขีดความสามารถในการกู้ของประเทศมาถึงจุดสุดท้ายแล้ว
ในขณะเดียวกัน ผลจากวิกฤติทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นได้ก่อหนี้เสียทางการเงินขึ้นในระบบการเงินเป็นจำนวนมหาศาลการใช้มาตรการทางบัญชีและทางการควบคุมตรวจสอบเพื่อผ่อนปรนคงจะใช้ได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
เพราะในที่สุดหนี้เสียในระบบที่ทรุดหนักลงตามวันเวลาที่ผ่านไปโดยไม่ได้รับการเยียวยาแก้ไขเลยจะทำให้เศรษฐกิจของทั้งประเทศพังทลายลง
จุดชนวนระเบิดการพังทลายของระบบเศรษฐกิจจะอยู่ที่การพังทลายของกลุ่มทุนใหญ่ 3-4 กลุ่ม ที่ก่อหนี้สร้างสินเพื่อขยายกิจการจำนวนมหาศาล ซึ่งขณะนี้แม้ได้รับการเอื้อเฟื้อและผลประโยชน์จากมาตรการบางอย่าง แต่โดยทั่วไปแต่ละรายที่มีหนี้สินนับล้านๆ บาท ก็มีผลขาดทุนย่อยยับไม่ต่างกัน ถึงวันหนึ่งก็จะยันสถานการณ์ไม่ได้ และวันนั้นก็คือวันจุดชนวนระเบิดทางเศรษฐกิจนั่นเอง
การรับมือและเผชิญหน้ากับวิกฤติทั้งสามประการนี้เป็นเรื่องใหญ่หลวงของบ้านเมือง ที่ต้องอาศัยความสามัคคีในชาติที่จะต้องสามัคคีภายใต้ร่มธงมหาราชแห่งพระมหากษัตริย์ และต้องมีผู้มีสติปัญญาความสามารถและซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินมารับมือกับสถานการณ์เหล่านี้ให้ทันท่วงที มิฉะนั้นแล้วอาการสิ้นชาติก็อาจปรากฏให้เห็นในช่วงอายุของเรานี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี