วิกฤติแสนสาหัสอันเกิดจากการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทยที่ระบาดหนักตั้งแต่ปลายปี 2563 ไม่เพียงแต่ทำให้ประเทศไทยต้องประสบกับปัญหาด้านการสาธารณสุขอย่างใหญ่หลวงเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบอย่างหนักหน่วงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งได้ส่งผลกระทบถึงรายได้ของประชาชนทั้งประเทศโดยตรงอีกด้วย ทั้งนี้ประชาชนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจมากที่สุดก็คือคนชั้นกลางและชั้นล่างของสังคม ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในประเทศของเรา
ตัวเลขหนึ่งที่สะท้อนความเสื่อมทรุดทางเศรษฐกิจของประเทศได้ดีที่สุดคือหนี้สินของประชาชน โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือน ซึ่งหนี้ตัวนี้เป็นสิ่งที่คนไทยจำนวนไม่น้อยรับรู้เป็นอย่างดี เพราะคนไทยจำนวนมากต่างก็มีหนี้ครัวเรือนในอัตราที่ถือได้ว่าสูงมาก ล่าสุด ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าหนี้ครัวเรือนล่าสุด (ไตรมาส 1/2564) ของคนไทยเพิ่มสูงแตะระดับ 90.5 เปอร์เซ็นต์ต่อ GDP หรือคือเป็นมูลหนี้คงค้าง 14.13 ล้านล้านบาท ถือว่าสูงสุดในรอบ 18 ปี (ตัวเลขหนี้ครัวเรือนของไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 อยู่ที่ระดับ 89.4 เปอร์เซ็นต์ต่อ GDP) และดูแล้วยังมีแนวโน้มสูงต่อเนื่องไปอีกซึ่งขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19
เมื่อประชากรของไทยมีหนี้ครัวเรือนสูง ก็หมายความว่ามีรายได้ไม่พอกับรายจ่าย แล้วก็หมายความว่าจะเกิดปัญหาการก่อหนี้ก่อสินซ้ำซากวนเวียนไม่รู้จบ ยิ่งคนในประเทศต้องเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 อย่างไม่รู้จบ ก็หมายความว่าโอกาสจะไร้งานทำ หรือต้องกลายเป็นคนตกงานก็จะยิ่งมากขึ้น เนื่องจากธุรกิจห้างร้านและกิจการต่างๆ ไม่สามารถเปิดดำเนินกิจการได้ตามปกติ เพราะไม่มีกำลังซื้อ เมื่อธุรกิจไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ก็จะมีบทสรุปด้วยการปลดคนงาน และเลิกจ้างแรงงาน
จนถึงวันนี้ เราทุกคนยังมองไม่ออกว่าปัญหาโควิด-19 ในประเทศไทยจะจบอย่างไร และจบเมื่อไร แต่สิ่งที่หลายคนคาดการณ์ตรงกันคือปัญหานี้น่าจะกินระยะเวลาอีกนาน ซึ่งอย่างน้อยๆ ก็กินเวลาอีก 6 เดือนถึงหนึ่งปียิ่งวิกฤตินี้ลากระยะเวลายาวนานก็หมายความว่าวิกฤติเศรษฐกิจจะยิ่งหนักมากขึ้นเป็นลำดับ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยก็จะเกิดขึ้นได้ยากมากยิ่งขึ้น แล้วก็จะเกิดปัญหาหนี้สินของประชาชนมากขึ้นและมากขึ้นเป็นเงาตามตัว เพราะเมื่อคนไม่มีงานทำ แต่ยังต้องกินต้องใช้ ก็จำเป็นต้องกู้หนี้ยืมสิน แต่เมื่อไม่มีรายได้ ก็ไม่มีเงินชำระหนี้ดังนั้นมูลหนี้ก็จะทวีมากขึ้น ยิ่งครอบครัวที่มีรายได้น้อย ก็จะยิ่งประสบกับปัญหาการก่อหนี้มากขึ้นเป็นลำดับ
หนี้ส่วนใหญ่ของคนไทยอยู่ที่หนี้จากการซื้อบ้าน ซื้อคอนโดมิเนียม ซื้อรถยนต์ ซื้อจักรยานยนต์ หนี้ที่มาจากการกู้ยืมเพื่อการทำธุรกิจ และหนี้ที่เกิดจากการอุปโภค-บริโภค สำหรับกลุ่มผู้เป็นหนี้จากการซื้อที่อยู่อาศัยยังไม่น่าจะก่อให้เกิดปัญหากับระบบเศรษฐกิจของไทยมากนัก เพราะคนกลุ่มนี้ยังพอจะมีกำลังซื้ออยู่บ้าง และหนี้ก่อนนี้ก็ไม่น่าเป็นห่วงมากนัก แต่หนี้ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือหนี้อันเกิดจากการกู้เพื่อการอุปโภค-บริโภค และหนี้อันเกิดจากการกู้เงินนอกระบบ รวมถึงหนี้จากการกู้เงินจากบัตรเครดิต
ในขณะที่รายได้ของประเทศลดน้อยลงเป็นลำดับ แต่กลับปรากฏว่าหนี้ของประชาชนกลับเพิ่มสวนทาง ซึ่งประเทศที่ประชาชนมีหนี้ครัวเรือนในอัตราที่สูงมากๆ คือประเทศที่เสี่ยงกับการเกิดปัญหาสังคมได้มากที่สุด เพราะเมื่อประชาชนส่วนมากมีหนี้สินจำนวนมากมายมหาศาล ก็จำเป็นต้องหาเงินไปชดใช้หนี้ และขณะเดียวกันก็ต้องหาเงินเพื่อใช้สำหรับการดำรงชีพประจำวันด้วย แต่เมื่อมีรายได้น้อยหรือขาดรายได้ ก็คงจะหาเงินไปชำระหนี้ได้ยาก แล้วก็ไม่มีเงินสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน แต่เมื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังต้องกินต้องใช้ต่อไป ดังนั้นเมื่อหาเงินใช้หนี้และเพื่อการดำรงชีวิตตามแนวทางสุจริตไม่ได้ ก็ต้องทำทุกหนทางเพื่อให้ได้เงิน ซึ่งนั่นก็หมายถึงการต้องยอมทำผิดกฎหมายและผิดศีลธรรมเพื่อให้ได้เงินมา และเป็นความจริงว่าสังคมใดก็ตามที่มีหนี้ครัวเรือนสูง สังคมนั้นจะหาความสงบสุขได้ยากมาก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี