การประกาศล็อกดาวน์ กทม. และพื้นที่ปริมณฑล โดยให้มีการเพิ่มมาตรการให้เข้มข้นขึ้นหลังตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันสูงขึ้นจนเกือบจะทะลุหลักหมื่นต่อวัน แต่นั่นก็ยังอาจไม่ใช่ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่แท้จริงด้วยอัตราการตรวจต่อวันที่ทำได้ไม่เต็มความต้องการ จนทำให้เกิดภาพการต่อคิวเพื่อตรวจโควิดข้ามคืน บริเวณจุดตรวจวงเวียนบางเขน ซึ่งเป็นภาพที่ทำให้เกิดการตั้งคำถามต่อการบริหารงานของรัฐบาลว่ามีการประสานงานกันอย่างไรถึงทำให้ประชาชนต้องลำบากเช่นนี้เพื่อเข้าถึงการบริการของรัฐ
เรื่องนี้ก็ทำให้เกิดกระแสโจมตีไปยัง ศบค. อย่างรุนแรงว่าไม่มีความสามารถในการบริหารจัดการทรัพยากรให้เพียงพอกับสถานการณ์ ขณะที่การบริหารจัดการวัคซีนก็เป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่ายังไม่สามารถบริหารจัดการได้มีประสิทธิภาพ โดยภาพที่สะท้อนได้ชัดเจนคือกรณีของสถานีกลางบางซื่อที่เปิดให้ผู้สูงอายุและผู้ติดตามสามารถรับวัคซีนได้ จึงทำให้เกิดการไหลเข้าของผู้สูงอายุจากหลายพื้นที่เข้ามายังสถานีกลางบางซื่อ จนทำให้เกิดความแออัดของพื้นที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาด และก็ไม่ได้มีทีท่าว่าระบบหมอพร้อมที่เคยให้ลงทะเบียนไปก่อนหน้านี้จะกลับมาดำเนินการได้อีกครั้งเพื่อแก้ปัญหาการกระจุกตัวของประชาชนในพื้นที่ให้บริการวัคซีน เช่นเดียวกับเรื่องมาตรการช่วยเหลือประชาชนทางเศรษฐกิจ
เหล่านี้คือหัวเชื้อที่นำไปสู่การโจมตีพลเอกประยุทธ์และรัฐบาลถึงประสิทธิภาพในการบริหารจัดการปัญหาโควิด ในทุกๆเรื่อง จนดูเหมือนว่าตอนนี้รัฐบาลทำอะไรก็ผิดไปหมด
ลามจนจะเป็นวิกฤติศรัทธา ที่ไปช่วยเสริมแรงให้กับกลุ่มม็อบมวลชนที่ต่อต้านรัฐบาลมาตลอดสองปีกว่าตั้งแต่ประเด็นเรื่องประชาธิปไตย กระบวนการยุติธรรม เรื่องรัฐธรรมนูญ แต่ก็ยังไม่เคยล้มรัฐบาลได้เพราะยังไม่มีแนวร่วมเพียงพอจากกระแสคนส่วนใหญ่และความเชื่อมั่นของรัฐบาลยังมีอยู่ หากแต่ตอนนี้ดูเหมือนน่าจะเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลจะสูญเสียแนวร่วมไปกับสถานการณ์โควิดที่รุนแรงมากขึ้นในปัจจุบัน
สิ่งที่รัฐบาลควรตระหนักและตั้งสติให้ดี คือ ต้องแยกให้ออกระหว่างปัญหาจากการโจมตีและปัญหาจากความผิดพลาดจริงที่ต้องแก้ไข จะไปเหมารวมว่าทุกอย่างมาจากการต่อต้านของกลุ่มม็อบไม่ได้ในขณะเดียวกันบางเรื่องก็เป็นเรื่องที่ประชาชนเข้าใจผิดก็ต้องอธิบายให้เข้าใจ จากสามประเด็นหลักที่รัฐบาลโดนโจมตีอย่างหนักขณะนี้คือ เรื่องวัคซีน เรื่องการควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อโควิด-19 และ เรื่องมาตรการเยียวยาและช่วยเหลือ
เรื่องแรก วัคซีน ซึ่งต้องแยกเป็น ประเด็นการได้มาซึ่งวัคซีนหลัก และประเด็นการบริหารจัดการวัคซีน โดยประเด็นการได้มาซึ่งวัคซีนหลัก ต้องเข้าใจก่อนว่าวัคซีนหลักที่มีอยู่ตอนนี้มาจากการตัดสินใจนโยบายและการเจรจาวัคซีนตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ที่ยังไม่มีใครรู้ว่ายี่ห้อใดดีที่สุด ยังไม่มีใครรู้ว่ายี่ห้อใดจะส่งมอบของได้ไวได้ช้า ยังไม่มีใครรู้ว่าวัคซีนใดฉีดแล้วจะมีผลกระทบอะไรบ้าง ยังไม่มีใครรู้ว่าวัคซีนจะมีการกลายพันธุ์อีก ซึ่งก็เป็นความไม่รู้ที่เป็นกันทั้งโลกและตอนนั้นก็มีการพูดกันอยู่แล้วว่าการควบคุมตลาดเป็นของประเทศผู้ผลิตและเจ้าของวัคซีนทางเลือกที่รัฐบาลขณะนั้นไปเจรจามาได้คือ ซิโนแวคจากจีนและ แอสตราเซเนกาประเทศอังกฤษ เพื่อให้ได้การการันตีว่าเราจะมีวัคซีนแน่นอน
แม้ขณะนี้พอมีประเด็นวัคซีนกลายพันธุ์ส่งผลต่อประสิทธิภาพวัคซีนแต่ละยี่ห้อที่ต่างกัน แต่เอาเข้าจริงเมื่อเวลาผ่านมาข้อมูลเริ่มปรากฏมากขึ้นว่าแม้แต่วัคซีน mRNA ก็อาจไม่สามารถป้องกันเชื้อโควิดบางสายพันธุ์ได้เช่นกัน เพียงแต่วัคซีนที่มีอยู่ในระบบตอนนี้ทำได้เพียงบรรเทาไม่ให้อาการหนัก ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั่วโลกเรียนรู้พร้อมกัน และก็คาดว่าจะยังคงมีการกลายพันธุ์ต่อไปอีกเรื่อยๆ แต่ประเด็นการบริหารจัดการและการกระจายวัคซีนของรัฐบาลหลังจากที่ได้มาแล้ว ก็พบว่ามีปัญหาจริงๆ ที่รัฐบาลต้องยอมรับ โดยเฉพาะการพลาดโอกาสสำคัญ ในหลายๆ ครั้งตั้งแต่ช่วงที่ได้รับวัคซีนมาในช่วงแรก หรือการกระจายวัคซีนในลอตแรกๆ ที่กระบวนการกระจายวัคซีนล่าช้า
ตลอดจนกระจายไปในจุดที่ยังจำเป็นน้อยกว่าจุดที่จำเป็น การมีหลายหน่วยงานที่จัดการเรื่องนี้จนทำให้ประชาชนสับสน เหล่านี้จะบอกว่าเป็นการเรียนรู้ปัญหาร่วมกันได้เพียงช่วงต้นเท่านั้นไม่สามารถอ้างได้ในระยะยาว ปัญหาจริงๆ ก็คือ การควบคุมระบบราชการให้ทำงานในภาวะฉุกเฉินนั้นมีปัญหาอย่างมาก ซึ่งระบบราชการไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายเลย แต่การปฏิบัติงานจริงและแนวคิดของระบบราชการนั้นอาจล่าช้าไม่ทันการณ์ แยกส่วน และคำนึงถึงกติกามากกว่าปัญหาตรงหน้า ดังนั้นถ้าแก้ไม่ถูกจุด ปรับแต่นโยบายแต่ไม่ปรับวิธีการทำงานปัญหาอาจหนักมากขึ้นเรื่อยๆ
เรื่อง การควบคุมการแพร่กระจายเชื้อโรค ที่ในช่วงปีที่แล้วทำได้ดีได้รับคำชื่นชม ว่าสามารถควบคุมโรคได้เป็นอย่างดี โดยเป็นผลจากระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง บุคลากรทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพ และเครือข่ายอาสาสมัคร อย่าง อสม. ที่ได้รับการชื่นชมจากต่างชาติว่าเป็นกลไกที่ช่วยในการควบคุมโรคได้ เหตุใดตอนนี้จึงโดนตำหนิมาก ก็เพราะการแพร่ระบาดมีมากจริงๆและคุมไม่อยู่จริงๆ ประชาชนจึงตำหนิมาก และเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นทั้งที่ใช้มาตรการไม่ต่างจากเดิม ก็เพราะสายพันธุ์ที่แพร่ระบาดในปัจจุบัน ทั้งอัลฟ่าและเดลต้านั้น แตกต่างและแพร่ระบาดมากกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมมาก
ประกอบกับบุคลากรทางการแพทย์ต่างอ่อนล้า ทรัพยากรเพื่อช่วยเหลือประชาชนก็จำกัด รัฐควรจะต้องตั้งต้นจากจุดนี้ก่อนว่าสถานการณ์แตกต่าง ปัจจัยโรคก็เปลี่ยน ลักษณะการแพร่ระบาดก็เปลี่ยน ข้อจำกัดก็มีมากขึ้น ดังนั้น มาตรการในการจัดการควบคุมโรคก็ต้องปรับเปลี่ยน ตลอดจนรอยโหว่รูรั่วของกระบวนการทำงานที่เคยปล่อยผ่านเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้ก็ต้องคิดใหม่แล้วว่าจะทำอย่างไร หนีไม่พ้นที่ต้องกลับมาพูดถึงกระบวนการของระบบราชการอีก ซึ่งระบบราชการอาจไม่เป็นปัญหาเลยในสถานการณ์ปกติ ที่ไม่ใช่สถานการณ์พิเศษแบบนี้ ตั้งแต่การบริหารจุดตรวจ วิธีในการตรวจ ที่ทุกอย่างทำเป็นระบบเดียวกันหมดทั้งที่แต่ละที่แต่ละจุดมีสภาวะที่แตกต่างกันไม่สามารถใช้ชุดกระบวนการทำงานแบบเดียวมาใช้กับทุกที่ได้
รวมถึงการบริหารวิธีการตรวจที่มีแบบเดียวไม่หลากหลาย จนมาถึงระบบการรับตัวคนไข้ ระบบส่งต่อ เบอร์สายตรงที่อาจใช้ไม่ได้จริง การบริหารเตียงและส่งต่อโรงพยาบาลสนาม เหล่านี้อาจไม่เคยเป็นประเด็นในปีที่แล้วเพราะการแพร่ระบาดไม่ได้รวดเร็วขนาดนี้และอาการของผู้ติดเชื้อช่วงต้นอาการก็ไม่เป็นเช่นนี้ แต่ตอนนี้สายพันธุ์ที่ระบาดเปลี่ยนไป แนวทางการควบคุมโรคก็ควรปรับให้ทันความรวดเร็วเหล่านี้ เช่นเดียวกับประชาชนที่ต้องเข้าใจวิธีรับมือของปัญหาที่เปลี่ยนไปด้วย
มาตรการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ จากที่ปีที่แล้วเป็นช่วงต้นประชาชนในบางกลุ่มได้รับผลกระทบแต่บางกลุ่มยังอยู่ได้ และมีความหวัง รัฐเองก็ทุ่มงบในการจัดการปัญหาได้อย่างเต็มที่เพราะไม่มีใครคาดคิดถึงเรื่องการกลายพันธุ์ที่ทำให้สถานการณ์ยืดเยื้อแบบไม่จบสิ้น แนวทางของไทยจึงเน้นไปที่กระบวนการควบคุมโรคเป็นหลักคู่ขนานกับการเยียวยาจากการควบคุมเข้ม แต่ไม่ได้เน้นมาตรการปรับตัวทางเศรษฐกิจให้ทุกกลุ่มยืนอยู่ได้ในสถานการณ์ แต่ด้วยเป็นช่วงต้นและสุดท้ายเราก็สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ในสามเดือนจึงไม่ได้มีปัญหาหรือผลกระทบมากนัก
แต่มาวันนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปและดูแนวโน้มจะยืดเยื้ออีกหลายรอบ กลุ่มต่างๆ ทางเศรษฐกิจจะใช้วิธีหยุดเพื่อรอสถานการณ์จบต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว การกลับไปใช้มาตรการเดิมแบบปีที่แล้ว ทำได้แต่ก็ต้องคำนึงถึงปัจจัยที่มากกว่าเดิมด้วย ทั้งในส่วนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบระยะยาว และการปรับตัวเพื่ออยู่กับสถานการณ์นี้ในระยะยาวให้ได้ ดังนั้นมาตรการของรัฐในการบริหารเศรษฐกิจและการช่วยเหลือประชาชนทางเศรษฐกิจอาจต้องมานั่งคิดกันใหม่ว่าเราจะยืนอยู่ให้ได้ในสถานการณ์แบบนี้ต่อไปอย่างไร ต้องใช้วิธีใด โดยกลไกของนายกฯ คือการตั้งศูนย์บริหารสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่จะมองภาพรวมทางเศรษฐกิจและเสนอ ครม. ให้ออกมาตรการเยียวยา แต่กลไกดังกล่าวจะทำได้ทันเวลาหรือไม่? ด้วยสถานการณ์ที่รุนแรงประกอบกับการออกมาตรการที่ก็ทำให้หลายกิจการร้านค้าตัดสินใจปิดกิจการไปเสียแล้ว
วิกฤติศรัทธาครั้งนี้ต้องยอมรับว่าเกิดจากปัญหาจริงๆที่ทุกคนรู้สึกร่วม ทางแก้คือการตั้งสตินั่งแยกแยะปัญหา และแก้ไปทีละจุด หลายอย่างจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีแก้ หลายอย่างต้องเปลี่ยนนโยบาย หลายอย่างต้องเปลี่ยนแนวทางปฏิบัติหรือระบบการปฏิบัติ เมื่อแก้ได้อคติก็จะคลายลง ผลกระทบต่อประชาชนน้อยลงก็ย่อมทำให้ความร้อนแรงของการเมืองบนท้องถนนเบาบางลงไปเช่นกัน
ถึงวันนี้เป้าหมายทุกคนมีเพียงเรื่องเดียวคือรอดวิกฤตินี้ให้ได้ โดยสูญเสียน้อยที่สุด ทางรอดคือรัฐบาล โดยพล.อ.ประยุทธ์ต้องมองให้ขาด ตัดสินใจให้เฉียบคมเพื่อแก้ปัญหา ได้อย่างตรงจุด ใช้จุดแข็งคือความเด็ดขาด สถานการณ์ทางการเมืองความขัดแย้งตลอดจนการต่อต้านรัฐบาลไม่ได้เป็นเรื่องของอุดมการณ์เท่านั้น แต่เป็นเรื่องของการรักษาชีวิตและการดูแลปากท้องที่ต้องเดินไปคู่กัน รัฐบาลนี้ก็สามารถกลับมาเป็นรัฐบาลที่ได้ใจของประชาชนได้ การช่วยเหลือชีวิตเป็นทางหนึ่งแต่การกอบกู้เศรษฐกิจในภาพรวมคือสิ่งที่สำคัญ ให้วิถีชีวิตกลับมาเป็นปกติให้ได้เร็วที่สุดประชาชนก็พร้อมอยู่ข้างรัฐบาลต่อไป.......
“แม้ว่าปากแผลจะปิดไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อไร ที่มีอะไรมาสะกิด ทำให้เราหวนคิดกลับไป อาการก็จะกำเริบ เจ็บปวดขึ้นมาอีก”
โกวเล้ง มังกรเมรัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี