ตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ที่ประกาศเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม นี้ เป็นจำนวน 10,082 ราย โดยมีผู้เสียชีวิต141 ราย นับเป็นตัวเลขนิวไฮ ซึ่งถึงแม้จะสร้างความหวั่นวิตกให้กับประชาชนชาวไทยทั่วประเทศ แต่ตัวเลขนี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่เกินความคาดหมายที่จะเกิดขึ้น
สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกที่ 3 ในประเทศไทยยังไม่มีแนวโน้มที่ชัดเจนว่าจะชะลอตัวลงเหมือนอย่างที่เคยทำได้ในการระบาดระลอกที่ 1 ซึ่งประเทศไทยสามารถจะเข้าไปควบคุมและลดการระบาดได้อย่างดีจนกระทั่งเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ มีการพูดถึงสาเหตุของการระบาดในระลอกใหม่นี้ว่าเกิดจากความหย่อนยานของทั้งภาครัฐและภาคประชาชนในการป้องกันการระบาดของโรค โดยไม่ออกมาตรการการที่เข้มแข็งในการควบคุมการเดินทางของประชาชนในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา ตลอดจนความไม่เอาใจใส่ในการป้องกันตัวเองของประชาชนจำนวนไม่น้อย รวมทั้งการติดตามควบคุมกลุ่มประชากรต่างด้าว เหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุที่สำคัญยิ่ง
แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าในการควบคุมให้การระบาดลดน้อยลง คือ การระดมฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในทุกภาคส่วน
โดยเน้นกลุ่มเสี่ยงตามลำดับความสำคัญตั้งแต่กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ ลงมาถึงกลุ่มผู้สูงอายุและมีโรคประจำตัว 7 โรคและกลุ่มอื่นๆ นั้น ไม่สามารถจะดำเนินการได้ดีตามที่รัฐบาลได้ประกาศให้เรื่องการฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติ เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน ที่ผ่านมา ซึ่งจนถึงปัจจุบันเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าจำนวนผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้เป็นอย่างมาก โดยเป็นผลที่เกิดขึ้นจากการที่จำนวนวัคซีนที่รัฐจัดหาเข้ามานั้น มีไม่เพียงพอ
ในช่วงเดือนที่ผ่านมาการจัดหาวัคซีนของภาครัฐยังยึดโยงอยู่กับวัคซีนซิโนแวค และ แอสตราเซเนกา เป็นหลัก จนกระทั่งเมื่อระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์เศษที่ผ่านมา จึงมีการจัดหาวัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอเข้ามาเพิ่มเติม คือ วัคซีนของไฟเซอร์ ทั้งนี้ไม่รวมการจัดหาวัคซีนของภาคเอกชนโดยดำเนินการผ่านองค์การเภสัชกรรมในการจัดหา วัคซีนโมเดอร์นาเข้ามาเสริม แต่ถึงอย่างไรก็ตามวัคซีนทั้ง 2 ตัวนี้จะไม่เข้ามาถึงเมืองไทยก่อนเดือนตุลาคมอย่างแน่นอน ยกเว้นวัคซีนไฟเซอร์จำนวน 1.5 ล้านโดส ที่จะได้รับจากการบริจาคซึ่งจะนำไปฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์และด่านหน้าที่สำคัญเท่านั้น เนื่องจากถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงสุดและเป็นกลุ่มที่มีความรับผิดชอบสูงในการดูแลรักษาประชาชนที่เจ็บป่วยจากโรคนี้
การออกข่าวมาโดยตลอดว่า นอกจากการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวคเพิ่มเติม 10.9 ล้านโดส เมื่อเร็วๆ นี้ และคำยืนยันที่ออกมาเป็นระยะๆ ว่า รัฐบาลจะได้รับมอบวัคซีนแอสตราเซเนกาเดือนละ10 ล้านโดส จากบริษัทผู้ผลิตตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นไป ปรากฏว่ามีปัญหาเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในส่วนของวัคซีนแอสตราเซเนกา ซึ่งขณะนี้ชัดเจนแล้ว ว่าบริษัทผู้ผลิตไม่สามารถจะส่งมอบให้ตามที่ตัวแทนของรัฐได้พูดไว้ ทำให้เป้าหมายของรัฐบาลที่จะระดมฉีดวัคซีนให้กับประชากรให้ครบประมาณ 100 ล้านโดสภายในสิ้นปีนี้ เพื่อให้ประชากร 70 เปอร์เซ็นต์ ของประเทศมีภูมิคุ้มกันตัวเองและเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้การระบาดถูกควบคุมและลดลงได้ จึงเป็นเรื่องที่น่าท้าทายเป็นอย่างยิ่ง
ในส่วนของวัคซีนซิโนแวค ปัจจุบันมีข้อมูลเชิงประจักษ์ว่าหลังจากที่ประเทศไทยได้รับเชื้อกลายพันธุ์สายพันธุ์เดลต้าจากประเทศอินเดียเข้ามา และประชาชนชาวไทยโดยเฉพาะในกรุงเทพฯมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ที่เจ็บป่วยเกิดจากการติดเชื้อโรคร้ายตัวนี้ และผู้ป่วยบางรายถึงแม้ว่าจะได้รับวัคซีนนี้ครบ 2 เข็มแล้ว ก็ยังเกิดอาการเจ็บป่วยรุนแรงได้ โดยพบว่าบุคลากรการแพทย์ซึ่งส่วนใหญ่ได้วัคซีนตัวนี้ครบ 2 โดสแล้ว มีอยู่จำนวนหนึ่งได้รับเชื้อสายพันธุ์นี้และเกิดการเจ็บป่วย บางรายมีอาการรุนแรงพอสมควรจนถึงเสียชีวิต จึงกลายเป็นกระแสสังคมรวมทั้งเมื่อสื่อต่างๆได้กระจายข่าวนี้ออกไปนั้น ทำให้เกิดความหวั่นวิตกต่อประชาชนเป็นอย่างมาก
เรื่องการเกิดเชื้อกลายพันธุ์ของไวรัสและแม้แต่เชื้อโรคชนิดอื่นๆ นั้นเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะเมื่อมีการใช้วัคซีนหรือยาในการรักษา ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนซึ่งต้องย้อนไปกล่าวถึงเรื่องในอดีตคือการค้นพบยาปฏิชีวนะที่ชื่อว่า เพนนิซิลิน โดย
เซอร์อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิง ชาวอังกฤษในปี 1928 ได้พบว่าเชื้อราที่ชื่อเพนนิซิเลียมสามารถจะฆ่าแบคทีเรียได้ และต่อมาศาสตราจารย์วิลเลี่ยม ฟลอรี่ย์ ชาวเยอรมันได้พัฒนาเป็นยาเพนนิซิลินจนสามารถจะใช้เป็นยาปฏิชีวนะที่รักษาผู้ป่วยติดเชื้อจากบาดแผลสงครามโดยเฉพาะกลุ่มทหารที่เข้ารบในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้รักษาชีวิตทหารเหล่านั้นไว้ได้เป็นจำนวนมากจนทำให้บุคคลทั้งสองได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ในปี 1945
แต่หลังจากนั้นต่อมาไม่นานนักก็เริ่มพบว่า ยาเพนนิซิลินซึ่งเคยใช้ได้ดีนั้น ไม่สามารถจะใช้ได้ผลในการรักษาการติดเชื้ออย่างมีประสิทธิภาพเหมือนเดิมและมีเชื้อแบคทีเรียสายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้น ซึ่งทำให้ต้องมีการ พัฒนายาปฏิชีวนะตัวใหม่ๆ ตามมาอีกมากมายเพื่อให้ต่อสู้กับเชื้อโรคชนิดใหม่ที่เกิดขึ้น
เรื่องดังกล่าวไม่ต่างจากวงจรการกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนา-19 ซึ่งเป็นตัวทำให้เกิดโรคโควิด-19 ในขณะนี้ ซึ่งก็มีเชื้อ
กลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่เกิดขึ้นอีกหลายสายพันธุ์ เช่นสายพันธุ์เบต้า เดลต้า และล่าสุดคือ แลมบ์ด้า ซึ่งแน่นอนว่าวัคซีนที่มีอยู่ในขณะนี้ ในที่สุดแล้วไม่ว่าวัคซีนใดๆ ก็อาจจะไม่สามารถทำให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีพอต่อการป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรงจากเชื้อกลายพันธุ์ทั้งหลายได้ ซึ่งก็จะต้องมีการพัฒนาวัคซีนต่อไปเรื่อยๆ ดังนั้นวัคซีนโควิดที่กล่าวกันว่าดีกว่าหรือดีที่สุดในขณะนี้นั้น ในอีก 1 หรือ 2 ปีถัดไปอาจจะไม่ได้เป็นไปตามนั้นแล้วก็ได้
ฉะนั้นเรื่องที่มีการกล่าวกันว่า รัฐบาลไม่ได้จัดหาวัคซีนที่ดีมาให้กับประชาชนนั้น จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะถูกต้อง เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 นี้ มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเกือบจะทุกๆ วัน รวมทั้งการกลายพันธุ์ของเชื้ออย่างรวดเร็ว จนกระทั่งไม่ได้เป็นเรื่องง่ายนักที่จะติดตามและแก้ปัญหาให้ทันกับเหตุการณ์ รวมทั้งการวางแผนป้องกันสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ก็เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ไม่ง่ายนัก
นับว่าเป็นเรื่องโชคดีของประเทศไทย ที่มีนักวิชาการที่มีความรู้ความสามารถในเรื่องไวรัสอยู่เป็นจำนวนพอสมควร ซึ่งทุกท่านก็ได้ทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศทั้งนั้น ทำให้ได้มีการรวบรวมข้อมูลเชิงวิชาการจากการใช้วัคซีนโดยวิธีการฉีดใน
รูปแบบต่างๆ จนมีข้อมูลพอเพียงในระดับหนึ่งว่า การใช้วัคซีนผสมระหว่างเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 หรือหลังจากเข็มที่ 2 แล้วบูสเตอร์ด้วยวัคซีนที่มีวิธีการผลิตที่แตกต่างกันนั้น สามารถจะสร้างภูมิคุ้มกันมากเพียงพอที่จะป้องกันอาการรุนแรงจากการได้รับเชื้อกลายพันธุ์เมื่อป่วยเป็นโรค
ได้มีการประกาศ ให้ใช้แนวทางการฉีดวัคซีนใหม่ นับจากนี้ไปดังนี้
ผู้ที่ได้วัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็มแล้ว ซึ่งพบว่าหลังจากระยะประมาณ 3 เดือนภูมิคุ้มกันเริ่มลดลง ให้ฉีดบูสเตอร์เข็มที่ 3 โดยใช้วัคซีนแอสตราเซเนกา หรือในอนาคตอาจจะใช้วัคซีนเอ็มอาร์เอ็นเอก็ได้
ผู้ที่ได้วัคซีนซิโนแวคแล้ว 1 เข็ม วัคซีนเข็มที่ 2 ให้ใช้เป็นแอสตราเซเนกา หรือในอนาคตอาจจะเป็นเอ็มอาร์เอ็นเอเช่นกัน
ส่วนผู้ที่ได้วัคซีนแอสตราเซเนกาครบ 2 เข็มแล้ว พบว่าหลังระยะเวลาผ่านไป 3-4 เดือน ยังมีภูมิคุ้มกันในระดับสูงเพียงพอต่อการป้องกัน อาการรุนแรงหากมีการได้รับเชื้อกลายพันธุ์เดลต้า จึงไม่ต้องมีการฉีดบูสเตอร์เข็มที่ 3
โดยสูตรดังกล่าวนี้ให้เน้นใช้เริ่มต้นในบุคลากรทางการแพทย์ ต่อเนื่องด้วยผู้สูงอายุและมีโรคประจำตัว 7 โรค ผู้พิการ ผู้ป่วยติดเตียง และประชากรกลุ่มอื่นตามมาตามลำดับ เมื่อมีการจัดหาวัคซีนเข้ามาเพียงพอ
การปรับวิธีการฉีดวัคซีนในครั้งนี้ถือว่าเป็นการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากหลายๆฝ่ายของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข โดยถือประโยชน์ของประชาชนผู้ที่จะได้รับวัคซีน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับแต่ละตนเองนั้นจึงนับว่าเป็นเรื่องที่ดี และไม่ควรจะเป็นประเด็นที่นำเรื่องในอดีตมากล่าวซ้ำเติมว่าการจัดหาวัคซีนของรัฐในระยะเริ่มต้นนั้น ไม่ได้มองถึงคุณภาพ ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของวัคซีน ตามเหตุผลที่ได้กล่าวมาแล้วเบื้องต้น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นรัฐบาลก็ต้องเร่งระดมจัดหาวัคซีนที่ดี และมีจำนวนมากอย่างเพียงพอเข้ามาฉีดให้กับประชาชนให้เร็วที่สุด
เชื่อว่าอีกไม่นานเกินกว่า 6 เดือนจากนี้ไป ข่าวดีของประเทศไทย จากการที่ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งกำลังพัฒนาวัคซีนชนิดเอ็มอาร์เอ็นเอที่ใช้ชื่อว่า Chula Cov 19 ซึ่งขณะนี้ได้มีการทดสอบอยู่ในระยะที่ 2 กับกลุ่มประชากรอาสาสมัครจำนวนหนึ่งและคาดว่าจะได้ผลดี โดยวัคซีนตัวนี้ได้ถูกพัฒนาที่จะให้ครอบคลุมเชื้อสายพันธุ์เดิมและเอาชนะเชื้อกลายพันธุ์ได้อีกด้วย จึงถือว่า
จะเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของประเทศไทย และประชาชนชาวไทยจะมีโอกาสได้ใช้วัคซีนซึ่งน่าจะเป็นความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งนี้เป็นอันดับแรก คาดว่าจะไม่เกินเดือนเมษายนของปี 2565
รัฐบาลทุกรัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศก็ล้วนแต่มีความตั้งใจดีทั้งนั้นที่จะทำให้ประเทศมีความเจริญก้าวหน้าและประชาชนมีความสุข ในระหว่างการบริหารนั้นย่อมมีปัญหาต่างๆ เข้ามามากบ้าง น้อยบ้าง เบาบ้างหนักบ้าง แต่การเปิดรับฟังปัญหาจากทุกภาคส่วนและพยายามแก้ปัญหาต่างๆ ด้วยใจบริสุทธิ์ ยุติธรรม และมีความสุจริตเป็นที่ตั้ง ย่อมจะทำให้ประชาชนมองเห็นถึงความตั้งใจที่ดี และยอมรับในความผิดพลาดที่เกิดขึ้นและได้มีการแก้ไขให้ดีที่สุด ได้อย่างแน่นอน
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี