ผ่านมาเดือนเศษแล้วกับมาตรการ “ล็อกดาวน์สกัดโควิด”นับตั้งแต่การปิดกิจการเกือบทุกอย่าง รวมถึงห้ามรับประทานอาหารในร้าน “พื้นที่สีแดงเข้ม” ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 10 จังหวัด ตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย. 2564 จากนั้นยกระดับด้วย “เคอร์ฟิว” ห้ามออกจากเคหสถานตั้งแต่เวลา 21.00-04.00 น. พร้อมกับเพิ่มพื้นที่สีแดงเข้มเป็น 13 จังหวัด ในวันที่ 12 ก.ค. 2564 และล่าสุดเมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2564 ยังได้เพิ่มพื้นที่สีแดงเข้มอีกครั้งรวมเป็น 29 จังหวัด
ซึ่งแม้ทางกระทรวงสาธารณสุข โดย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค จะชี้แจงเมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2564 ว่า ในการคำนวณผ่านแบบจำลอง พบหากไม่มีมาตรการล็อกดาวน์หรือมาตรการเข้มข้นใดๆ อาจมีผู้ติดเชื้อรายใหม่รายวันสูงกว่า 4 หมื่นคนต่อวัน รวมถึงอาจมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 500 คนต่อวัน แต่ในมุมของคนธรรมดาหาเช้ากินค่ำและผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆการถูกปิดกิจการยาวนาน ขาดงานไม่มีรายได้ ก็เป็นผลกระทบรุนแรงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน บวกกับจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตยังสูงและไม่ลดลงง่ายๆ ความรู้สึกอึดอัดคับข้องใจก็ยิ่งมากขึ้น
อนึ่ง เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา แพทย์ 2 ท่านที่ให้ความรู้ด้านโรคโควิดผ่านสื่อต่างๆ มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การระบาดระลอกแรกในปี 2563 ได้ให้ความเห็นไว้น่าสนใจเกี่ยวกับ “แนวทางที่เปลี่ยนไปในการรับมือและอยู่ร่วมกับโควิด” ท่านหนึ่งคือ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณหัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เขียนบทความ “โควิด 19 วัคซีน” เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว “Yong Poovorawan” เมื่อวันที่2 ส.ค. 2564 โดยตอนท้ายของบทความระบุว่า..
“..โควิด 19 ไม่หมดไปแน่นอน โรคนี้จะบรรเทาลงเมื่อทุกคนได้รับวัคซีนและยอมรับว่าจะติดเชื้อได้ แต่ความรุนแรงของโรคจะต้องลดลง และลดการเสียชีวิตให้ได้และต่อไปการพัฒนายารักษา ก็จะมาช่วยอีกแรงหนึ่งเราจะต้องอยู่กับโรคนี้ให้ได้ เดิมทีเราคิดว่ามาถึงครึ่งทางแล้ว แต่ความเป็นจริงระยะทางอีกยาวไกล โดยที่ทุกคนจะต้องมีภูมิต้านทานอยู่ระดับหนึ่ง ในการป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงของโรค และโรคนี้จะติดเชื้อโดยธรรมชาติเมื่อติดไปก็จะกระตุ้นภูมิต้านทาน ซ้ำแล้วซ้ำอีก เหมือนโรคหวัดที่เราเป็นในวัยเด็ก โตขึ้นมาก็จะมีภูมิต้านทาน และภูมิต้านทานนั้นก็จะทำให้ เป็นซ้ำไม่รุนแรงไม่ลงปอดโอกาสเสียชีวิตก็จะน้อยลง..”
ในวันเดียวกัน แพทย์อีกท่านหนึ่งคือ นพ.มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าห้องไอซียู เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ ผู้ป่วยหนัก และโรคผู้สูงอายุ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ เขียนบทความ “ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐอเมริกา หรือ CDC ออกแถลงการณ์ สงครามโควิดได้เปลี่ยนไปแล้ว” เผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว ระบุว่า สถานการณ์โรคระบาดโควิดรอบล่าสุดต่างจากรอบก่อนเนื่องจาก “ไวรัสกลายพันธุ์สายเดลต้า (หรืออินเดีย)” ระบาดได้ง่ายกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมอย่างมาก
กล่าวคือ “โควิดสายพันธุ์ดั้งเดิมนั้นผู้ติดเชื้อ1 คน สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้อีก 2 คน แต่สายพันธุ์เดลต้า ผู้ติดเชื้อ 1 คน สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้อีก8-9 คน” และท้ายที่สุดคนส่วนใหญ่บนโลกก็จะเคยมีประวัติติดเชื้อโควิด คล้ายกับเมื่อ 100 ปีก่อนที่มีการระบาดของ “ไข้หวัดสเปน” ใช้เวลากว่า 2 ปีกว่าสถานการณ์จะทุเลาเบาบางลงและกลายเป็นเพียงโรคไข้หวัดใหญ่ประจำถิ่น
อย่างไรก็ตาม “วัคซีนจะช่วยให้แม้ติดเชื้อแต่ความรุนแรงของโรคลดลง” คุณหมอมนูญ อธิบายให้เห็นภาพว่า คนที่ได้รับวัคซีนโควิดครบโดสก็ยังมีโอกาสติดเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้าได้ วัคซีนลดการติดเชื้อได้ 3 เท่า แต่ลดอาการรุนแรงถึงขั้นเข้านอนในโรงพยาบาลและเสียชีวิตมากกว่า 10 เท่าเมื่อเทียบกับคนที่ไม่เคยรับวัคซีน วัคซีนป้องกันโรคโควิดที่เป็นรุนแรงมากกว่าร้อยละ 90 และยังกล่าวไว้อีกดังนี้..
“..ทุกคนควรแข่งกับเวลารีบฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุด เพื่อลดการป่วยหนักและเสียชีวิตหากติดเชื้อโควิด และป้องกันตัวเองเต็มที่ด้วยการใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างพยายามอย่าอยู่ในที่แออัด อากาศถ่ายเทไม่ดี หมั่นล้างมือพยายามชะลอเวลาการติดเชื้อออกไปให้นานที่สุด เพราะปีหน้าคาดว่าเราจะมียาขนานใหม่ที่มีประสิทธิภาพรักษาโรคนี้ดีกว่ายาปัจจุบัน มาตรการล็อกดาวน์แบบปีที่แล้วต่อให้เข้มแค่ไหน คงไม่ได้ผลกับเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้าเราต้องยอมรับสงครามเปลี่ยนไป เราไม่สามารถเอาชนะข้าศึกครั้งนี้ได้ เราต้องเรียนรู้อยู่กับโรคนี้..”
ทั้งนี้ เมื่อมองออกไปในประเทศที่มีการฉีดวัคซีนโควิดให้กับประชาชนอย่างกว้างขวางมากพอ พบสิ่งที่เปลี่ยนไปคือ “ประเทศที่ฉีดวัคซีนกันไปมากแล้วจะให้ความสำคัญกับยอดผู้ติดเชื้อน้อยลง มาตรการเข้มงวดจะถูกนำมาใช้อีกหรือไม่ขึ้นอยู่กับยอดผู้ป่วยอาการหนักต้องเข้าโรงพยาบาลและยอดผู้เสียชีวิต” หาก2 ยอดหลังนี้ไม่เพิ่มขึ้นมากจนกระทบต่อระบบสาธารณสุขในภาพรวม การล็อกดาวน์หรือจำกัดกิจกรรมต่างๆ ก็จะไม่ถูกนำมาใช้
อาทิ อังกฤษ ซึ่งได้เฉลิมฉลอง “วันแห่งเสรีภาพ (Freedom Day)” ไปเมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2564 เพราะเป็นวันที่รัฐบาลเมืองผู้ดีประกาศยุติมาตรการล็อกดาวน์ทั้งหมด บรรยากาศในวันนั้นร้านอาหารและสถานบันเทิงเนืองแน่นไปด้วยผู้คนที่มารวมกลุ่มสังสรรค์กันอย่างสุดเหวี่ยงหลังอัดอั้นมานานนับปี โดยปัจจุบันแม้ยอดผู้ติดเชื้อโควิดในอังกฤษจะอยู่ที่หลักหลายหมื่นคนต่อวัน
แต่ยอดผู้เสียชีวิตจะอยู่ที่หลักไม่กี่สิบรายต่อวันเท่านั้น น้อยกว่าปีก่อนที่ยังไม่มีวัคซีน ซึ่งเวลานั้นยอดผู้ติดเชื้อหลักหลายหมื่นคนต่อวันจะมาพร้อมกับยอดผู้เสียชีวิตหลักหลายร้อยรายต่อวัน
ภาพแบบเดียวกันยังปรากฏใน สหรัฐอเมริกา ผู้คนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ อาจแตกต่างบ้างเพราะยังคุมเข้มในส่วนมาตรการสวมหน้ากากปิดปาก-จมูก โดยสื่อใหญ่แดนลุงแซมอย่างสำนักข่าว CNN รายงานเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2564 อ้างข้อมูลจาก CDC พบว่า มีผู้ได้รับวัคซีนครบตามจำนวนที่วัคซีนแต่ละชนิดกำหนด (วัคซีนเกือบทุกยี่ห้อที่มีในปัจจุบันให้ฉีด 2 เข็มต่อคนยกเว้นของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ที่ให้ฉีด 1 เข็มต่อคน) เพียงร้อยละ 0.004 เท่านั้นที่ติดเชื้อแล้วป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล และร้อยละ 0.001 เท่านั้นที่เสียชีวิตในจำนวนนี้ส่วนใหญ่อายุ 65 ปีขึ้นไป
อีกด้านหนึ่ง เพื่อนบ้านร่วมภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) อย่าง สิงคโปร์ แม้จะกลับมาล็อกดาวน์อีกครั้งระหว่างวันที่ 22 ก.ค.-18 ส.ค. 2564 หลังโควิดระบาดจากคลัสเตอร์ร้านคาราโอเกะ แต่เมื่อช่วงปลายเดือนมิ.ย. 2564 รัฐบาลสิงคโปร์ได้เผยแนวทางที่จะใช้แทนการล็อกดาวน์ เช่น จัดหาวัคซีนมาฉีดกระตุ้นภูมิคุ้มกันอย่างต่อเนื่อง พัฒนาระบบตรวจคัดกรองโรคที่มีประสิทธิภาพและเข้าถึงได้ง่าย โดยจะประเมินผลจากยอดผู้ป่วยหนักกับผู้เสียชีวิตเท่านั้น ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 26 ก.ค. 2564 ลอเรนซ์ หว่อง รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสิงคโปร์ เปิดเผยว่า จะมีการคลายล็อกดาวน์เมื่อประชากร 2 ใน 3 ของประเทศได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มซึ่งคาดว่าจะเป็นเดือนก.ย. 2564
สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” นำเรื่องนี้มาบอกเล่า และต้องถามท่านผู้อ่านด้วยว่า “ไทยเราพร้อมแล้วหรือยัง?” ที่จะหันไปอยู่ร่วมกับโควิด (อย่างเข้าใจและควบคุมได้) เพราะดูแล้วโรคนี้น่าจะอยู่กับมนุษย์เราไปอีกนาน!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี