เห็นข่าวสถานทูตญี่ปุ่นออกแถลงการณ์เตือนชาวญี่ปุ่นในประเทศไทยให้ระวังระเบิดฆ่าตัวตาย และแนะนำให้ชาวญี่ปุ่นในประเทศไทยอยู่ห่างไกลจากสถานที่ๆ ผู้คนอยู่รวมกันจำนวนมาก ถ้าจำเป็นต้องไปในสถานที่นั้นๆก็ต้องรีบไปรีบกลับอย่าไปอยู่ที่มีผู้คนพลุกพล่านนานจนเกินไป
สถานทูตญี่ปุ่นไม่ได้ให้รายละเอียดว่าผู้ก่อการร้ายมีเป้าหมายทำลายล้างสถานที่ใดและไม่ได้บอกว่าเป็นผู้ก่อการร้ายกลุ่มไหน
เท่าที่ผู้เขียนติดตามข่าวมาไม่พบว่ารัฐบาลไทยไปมีข้อขัดแย้งหรือเข้าไปเกี่ยวข้องหรือสนับสนุนศัตรูคู่แค้นของผู้ก่อการร้ายกลุ่มใดที่เป็นเงื่อนไขหรือเหตุจูงใจให้มีระเบิดฆ่าตัวตายในประเทศไทย
รัฐบาลนี้ไม่ได้สร้างเงื่อนไขเหมือนที่เคยส่งทหารไปร่วมทำสงครามรุกรานอิรักเมื่อปี 2546 ถึงแม้ว่ารัฐบาลในเวลานั้นอ้างว่าที่ส่งไปเป็นทหารพัฒนาเป็นการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ก็เป็นเงื่อนไขให้ผู้ก่อการร้ายโกรธแค้นได้ เพราะรัฐบาลในยุคนั้นอนุญาตให้กองทัพสหรัฐใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นที่แวะเติมน้ำมันและซ่อมบำรุงเครื่องบินก่อนไปทิ้งระเบิดในตะวันออกกลาง และอัฟกานิสถาน
ตลอดถึงการเปิดทางให้ซีไอเอ เข้ามาจับกุมตัวนายอัมบาลีคนสำคัญของกลุ่มก่อการร้าย JI ซึ่งมีความสัมพันธ์กับอัฟกานิสถาน ที่จ.พระนครศรีอยุธยา แล้วพาบินข้ามหัวคนไทยไปคุกกวนตานาโม แต่นั่นมันนานมาแล้วตั้งแต่ปี 2546 คิดว่าไม่มีใครติดใจเรื่องนี้แล้ว
ส่วนการระเบิดฆ่าตัวตายที่สนามบินแฮมิด คาร์ไซในประเทศอัฟกานิสถานระหว่างที่สหรัฐอพยพทหารและชาวอัฟกันออกจากประเทศเมื่อเดือน ส.ค. ที่ผ่านมาซึ่งเป็นเหตุให้มีคนตาย 75 ราย รวมทั้งทหารอเมริกัน 13 คน ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับประเทศไทย
ส่วนผู้ก่อความไม่สงบในภาคใต้ก็ไม่เคยมีประวัติว่าผู้ก่อความไม่สงบในภาคใต้ปลายด้ามขวานมีอุดมการณ์หรือความคิดระเบิดฆ่าตัวตาย
ฝ่ายกลุ่มอันธพาลการเมืองที่ก่อกวนสร้างความปั่นป่วนรายวัน ถึงแม้พวกมันจะเรียกสามแยกดินแดงว่า “สามแยกตาลิบัน” ก็เป็นเรื่องของพวกขี้ยารับจ้างมาป่วนเมืองไม่มีอุดมการณ์ ไม่มีความกล้าพอที่จะคิดเรื่องระเบิดฆ่าตัวตายเพราะแค่จุดประทัดยักษ์ทำเอามือตัวเองขาดแล้วยังร้องโวยวายใส่ร้ายว่าตำรวจเอายัดใส่มือให้
นายธานี แสงรัตน์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่าทางการญี่ปุ่นได้ส่งอีเมลแจ้งคนญี่ปุ่นที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทยให้ระมัดระวังอาจมีการก่อการร้ายจริง แต่ไม่ได้จำเพาะเจาะจงประเทศไทยเท่านั้น
ผู้เขียนจึงไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นเหตุจูงใจให้ระเบิดฆ่าตัวตายในประเทศไทยและไม่เข้าใจตลอดมาว่าผู้จุดชนวนระเบิดเพื่อให้ผู้อื่นตายไปพร้อมกับตัวเขานั้นมีอุดมการณ์หรือมีความคิดอย่างไร จนกระทั่งได้อ่านข่าวจากสำนักข่าวอัล-จาซีรา ก็นับได้พอเข้าใจบางส่วน
อัล-จาซีรารายงานข่าวพิเศษเปิดบันทึกไดอารี่ของหญิงสาวชาวอัฟกานิสถานวัย 38 ปี ผู้ไม่ยอมออกจากประเทศบ้านเกิดไปอีกครั้ง หลังจากที่ตาลิบันเคยปฏิบัติเหมือนผู้หญิงเป็นควายผู้ชายเป็นคนได้หวนคืนมามีอำนาจอีกครั้ง
ไดอารี่ของหญิงชาวอัฟกานิสถานผู้ใช้นามปากว่า “นาดิม่า” เริ่มต้นว่าเธอเป็นชาวอัฟกานิสถานเผ่าพาตตุน ที่ครอบครัวพาหนีออกจากประเทศอัฟกานิสถานตั้งแต่เธออายุสี่ขวบ อยู่ต่างประเทศกับครอบครัวจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่มีการศึกษามีวุฒิภาวะจึงได้กลับมาอยู่อัฟกานิสถานประเทศบ้านเกิดหลังจากกลุ่มตาลิบันถูกทหารสหรัฐและกองทัพนานาชาติขับออกจากอำนาจไปในปี 2543
เมื่อทหารอเมริกันถอนทหารอย่างโกลาหลหลังจาก 20 ปี ในอัฟกานิสถานในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงและลูกหลานที่มีเต็มบ้านของเธอพากันอพยพไปจากอัฟกานิสถานพร้อมกับทหารอเมริกัน ญาติพี่น้องชักชวนให้เธออพยพออกจากอัฟกานิสถานเพราะตาลิบันกลับมามีอำนาจ แต่ นาดิม่า ยืนกระต่ายขาเดียวว่าเธอจะต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษย์ชนโดยเฉพาะสิทธิสตรีต่อไปจนหลายคนระอาพากันตัดญาติขาดมิตรกับเธอ
นาดิน่า กลายเป็นคนโดดเดี่ยวแต่พยายามทำตัวให้มีชีวิตชีวา ปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตใหม่ที่เปลี่ยนไปหลังตาลิบันเข้ามาในคาบูล วันหนึ่งดานิน่า มองดูการเดินขบวนประท้วงเรียกร้องสิทธิตรีกับเพื่อนสาวคนหนึ่งจากหน้าต่างบ้านแล้วรำพึงว่า “ในเมืองนี้มีคนมากมายทำไมปล่อยให้ผู้หญิงแค่ 50 คน เดินขบวนเรียกร้องสิทธิสตรี”
เพื่อนสาวของเธอตอบว่า “คอยดูนะผู้ประท้วงอาจถูกเฆี่ยนตีทำร้ายเกิดบาดแผลทั้งกายและใจแล้วก็ไม่มีใครเยียวยาให้ แม้แต่พ่อหรือพี่ชายคนในครอบครัวของพวกเธอ” เพื่อนสาวเล่าว่าเมื่อปี 2542 แม่ของเธอถูกนักรบตาลิบันตีจนขาหักผู้ชายในครอบครัวไม่ว่าพ่อและพี่ชายไม่ได้ให้ความช่วยเหลือไม่เรียกร้องสิทธิใดๆ ให้มารดาของเธอเลย
นาดิน่า บันทึกในไดอารี่ของเธอว่า มันเป็นเรื่องน่าคลางแคลงใจว่าทำไมผู้ชายประเทศนี้จึงไม่ปกป้องสตรีไม่ยืนเคียงข้างสตรีไม่เป็นปากเสียงให้ผู้หญิงบ้าง ผู้ชายมีแต่พูดว่าพวกเธอเป็นผู้หญิงไม่ต้องทำอะไร พวกเราผู้ชายให้ทำทุกอย่าง “แต่นั่นมันเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ผู้หญิงต้องทำงานบ้านต้องเลี้ยงลูก ผู้หญิงในครอบครัวยากจนซึ่งส่วนใหญ่ก็ยากจนต้องดิ้นหาเงินหาอาหารมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องคนในบ้าน ผู้หญิงต้องแก้ปัญหาสารพัดด้วยตัวเอง”
ผู้ชายแสวงหาแต่เงิน อำนาจและออกคำสั่ง ผู้ชายเดินถนนจ้องมองเด็กสาวตาเป็นมันไม่ถูกลงโทษ แต่ผู้หญิงต้องเดินก้มหน้าไม่สร้างปัญหาให้ใครกลับถูกสั่งให้ปิดหน้า แต่งตัวคลุมตั้งแต่หัวถึงเท้า
ผู้หญิงขายเรือนร่างพลีกายเพื่อหาเงินมาใช้จ่ายจุนเจือให้คนในครอบครัวอิ่มท้องเมื่อถูกจับได้ก็เอาไปฆ่า แต่ตาลิบันไม่เคยลงโทษผู้ชายที่จ่ายเงินให้โสเภณี
ผู้ชายในประเทศนี้ไม่เคยปกป้องสตรีแม้แต่คนเดียว ผู้ชายไม่ปกป้องลูกสาว หลานสาว น้องสาวหรือแม้สตรีที่เป็นมารดา สิ่งที่ผู้ชายต้องการคือหญิงพรหมจรรย์วัย 16-17 ปี
ที่น่าสังเวชที่สุดคือผู้ชายที่ระเบิดฆ่าตัวตายตามจินตนาการตามอุดมการณ์ที่บิดเบือนว่าจะได้รางวัลหญิงพรหมจรรย์บนสวรรค์ 72 คน
ผู้ชายที่ไม่เคยปกป้องผู้หญิงคนไหนในโลกนี้ ไม่เคยปกป้องผู้หญิงเมื่อยังมีลมหายใจแต่ยอมระเบิดฆ่าตัวตายตามอุดมการณ์บิดเบือนที่จินตนาการว่าได้รางวัลหญิงพรหมจรรย์บนสวรรค์ 72 คน
ไดอารี่ของ นาดิน่า ยังพูดถึงชะตากรรมและอนาคตที่ไม่แน่นอนของผู้หญิงอัฟกานิสถานภายใต้การปกครองของตาลิบันอีกมากมายแต่เอามาเล่าพอให้เข้าใจว่าทำไมจึงมีมือระเบิดฆ่าตัวตาย
รางวัลหญิงพรหมจรรย์ 72 นางบนสวรรค์หลังจากระเบิดฆ่าตัวตายตามบันทึกของในไดอารี่ของ ดานิน่า เป็นเหตุผลพอฟังได้ส่วน ดานิน่า ถูกล้างสมองโดยใครไดอารี่มีจริงหรือไม่ เป็นสิ่งที่ควรนำมาพิจารณา
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี