ตอนนี้หลายคนกำลังมองว่า ความขัดแย้งในพลังประชารัฐดูเริ่มจะมองเห็นหลังการปรับ 2 รมช. ออกจากครม.หรือไม่? เกิดอะไรขึ้นกับ 3ป.กันแน่ ? แล้วที่นายกฯตะลุยลงพื้นที่ตอนนี้กำลังจะสื่อความอะไรหรือไม่?
ซึ่งไม่ว่ารมช.ทั้งสองจะลาออกเองหรือให้ออก แต่ก็อาจทำให้หลายคนมองเห็นร้อยราวใหญ่ในพรรคหลังคีย์แมนคนสำคัญอย่าง ร.อ.ธรรมนัส หลุดจากเก้าอี้รัฐมนตรี เป็นที่รู้กันว่าพลเอกประวิตรมีความไว้เนื้อเชื่อใจร้อยเอกธรรมนัสเป็นอย่างมาก ด้านร้อยเอกธรรมนัสก็รักและให้ความเคารพพลเอกประวิตรเป็นอย่างสูง แต่ภายใต้ความสัมพันธ์นี้ พลเอกประวิตรย่อมทราบว่าร้อยเอกธรรมนัสเปรียบเสมือนขุนพลเอกของตนเอง หากจะเสียขุนพลเอกไป การที่จะหาตัวแทนที่มีฝีมือเทียบเคียงนั้นเป็นเรื่องที่ยาก
นอกจากนี้ หากพรรคพลังประชารัฐ ไร้เงาร้อยเอกธรรมนัสจริง ก็น่าคิดว่าสถานีต่อไปของร้อยเอกธรรมนัสนั้นจะไปลงเอยที่ใดเนื่องจากร้อยเอกธรรมนัสมีพันธมิตรทางการเมืองทุกพรรค จะเป็นเพื่อไทยบ้านหลังเก่า หรือ พรรคร่วมพรรคอื่น หรือ ไปร่วมกับพรรคที่จัดตั้งขึ้นใหม่ หรือแม้กระทั่งจะตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาใหม่เองก็ตาม แต่ไม่ว่าจะเป็นพรรคใดก็ตาม หากมีร้อยเอกธรรมนัสสังกัดอยู่ เชื่อว่าจะเป็นแต้มต่อให้พรรคต้นสังกัดอย่างแน่นอนในทางตรงกันข้ามก็เท่ากับพรรคพลังประชารัฐกำลังยื่นอาวุธให้คู่แข่งทางด้านการเมือง หรืออาจเท่ากับเป็นการสร้างคู่แข่งเพิ่มขึ้นมาใหม่เสียเองเรื่องนี้พลเอกประวิตรก็ทราบดีอีกเช่นกัน
ร้อยเอกธรรมนัสยังคงมีบทบาทในพรรคพลังประชารัฐในฐานะเลขาธิการพรรคอยู่และยืนยันว่าหากพล.อ.ประวิตร ยังต้องการให้ช่วยงานก็ยังจะอยู่ในฐานะของเลขาฯพรรคต่อไป การกลับคืนสู่อ้อมอกพลังประชารัฐของร้อยเอกธรรมนัสในครั้งนี้จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่จะคงอยู่แบบไหนนั้นจึงอยู่ที่ท่าทีของพล.อ.ประวิตรว่าเอาอย่างไรต่อ ในเมื่อฝั่งหนึ่งคือน้องรัก พล.อ.ประยุทธ์ที่ปั้นมากับมือจนสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี อีกฝั่งก็ขุนพลคู่ใจอย่างร.อ.ธรรมนัส แน่นอนว่ากับนายกฯคงไม่ถึงขั้นผิดใจกัน เพราะสายสัมพันธ์ของ 3 ป. มีมานานและยังคงเหนียวแน่น แต่มือไม้ที่เคยเป็นตัวแทนจัดการปัญหาต่างๆอย่างร.อ.ธรรมนัสก็ต้องรักษาไว้เช่นกัน พลเอกประวิตรจะทำอย่างไรในพรรคพลังประชารัฐ? ยังไม่นับการปรับครม.ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจากการตั้งรมต.เพิ่มอีก 2 คน แม้นายกฯจะยืนยันว่าจะไม่ปรับครมเร็วๆนี้ก็ตาม
อย่างไรก็ตามการออกจากตำแหน่งของร้อยเอกธรรมนัสอาจเป็นโอกาสให้บางคนบางกลุ่มได้ขยับขยายฐานอำนาจในพรรคพลังประชารัฐ หลายคนจึงจับตาไปที่ กลุ่ม 3 มิตรที่ถือว่ามาเหนือแบบนิ่มๆที่สุด
เพราะที่ผ่านมากลุ่มสามมิตรมักมองว่าตนเองเสียประโยชน์ในเรื่องของโควตาจำนวนรัฐมนตรี? แต่ครั้งนี้อาจเป็นเวลาที่กลุ่ม 3 มิตรนั้นมีบทบาทมากขึ้นในขั้วพลังประชารัฐหรือไม่? เชื่อว่าทุกย่างก้าวของกลุ่ม 3 มิตรต่อจากนี้ ย่อมสร้างอิมแพคอย่างแน่นอน
ทางด้านนายสันติ พร้อมพัฒน์ ด้วยความที่มีข่าวเพิ่งแยกตัวออกมาจากกลุ่ม 4 ช. และออกตัวสนับสนุนพลเอกประยุทธ์อย่างชัดเจนในช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา โดยที่ผ่านมานายสันติ ก็เป็นผู้สนับสนุนและดูแลพรรคมาตลอดรวมถึงที่ทำการพรรคปัจจุบัน และยังถูกพูดถึงในการเป็นแคนดิเดตเก้าอี้เลขาธิการพรรคมาตลอดแต่ก็พลาดทุกครั้ง ครั้งนี้ต้องติดตามว่าโอกาสจะกลับมายังกลุ่มของนายสันติหรือไม่ ทั้งอำนาจในพรรคและเก้าอี้ในครม.ของกลุ่มที่อาจเพิ่มขึ้น แต่ปัจจัยใดจะทำให้เกิดโอกาสนั้น?
การขยับของนายกฯ หลังศึกภายในของพรรคพลังประชารัฐไม่น่าจะใช่การเตรียมการเลือกตั้งอย่างที่หลายฝ่ายพยายามปูประเด็น แต่หากดูให้ลึก จากพื้นที่ที่นายกฯไป บางคนอาจคิดได้ไหมว่าเกี่ยวอะไรกับการจัดการบางอย่างภายในพรรคพลังประชารัฐด้วยตนเองของพลเอกประยุทธ์หรือไม่?
ตอกย้ำด้วยการที่นายกรัฐมนตรี ออกมาเน้นจุดยืนเรื่องจะอยู่จนครบวาระแม้จะมีกระแสข่าวจากหลายทิศทางที่บอกว่า การเลือกตั้งก็น่าจะเกิดเร็วขึ้น และพลังประชารัฐเองก็อาจเพลี่ยงพล้ำในศึกนี้ จากสถานการณ์และความขัดแย้งภายใน ตั้งแต่ การแยกตัวออกไปของกลุ่ม 4 กุมาร การปรับครม.ครั้งก่อนหน้า จนมาถึงความขัดแย้งช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา สิ่งที่น่าสนใจคือที่ผ่านมานายกฯวางตัวเหนือการเมืองในพรรคมาตลอด โดยเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารแบบเต็มตัวบนโต๊ะ ครม.เท่านั้น โดยให้ พล.อ.ประวิตร เป็นผู้จัดการหลังบ้านในพลังประชารัฐให้ เมื่อเกิดความขัดแย้งในพรรคที่สส.หลายคนบอกว่าเข้าไม่ถึงนายกฯ และยังมีปัญหาการเลื่อยขาเก้าอี้ภายในที่หลายคนจับตามอง
ล่าสุดพรรคพลังประชารัฐก็ได้ปรับแผนโดยไม่รู้ว่ามาจากคำสั่งนายกฯหรือไม่? เริ่มตั้งแต่การแต่งตั้งพล.อ.วิชญ์ เข้ามาทำหน้าที่โซ่ข้อกลางในพรรคในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรค แน่นอนว่าจะมีคนตั้งคำถามถึงการตั้งกุนซือทางการเมืองเข้ามาในพรรค แต่บทบาทหนึ่งที่อาจแฝงอยู่คือการเป็นหู ตา ให้พลเอกประยุทธ์ และยังเป็นจุดประสานงานที่ สส. พรรคพลังประชารัฐจะได้เข้าถึงนายกฯได้ง่ายขึ้น ในพรรคหรือไม่?
นอกจากนี้การที่นายกฯเปิดพื้นที่และรับว่าจะเดินเข้าหา สส.มากขึ้น และเดินหน้าแบบจริงจังมาสองอาทิตย์แล้ว เห็นจากการลงพื้นที่เพื่อกระชับความสัมพันธ์กับรมต. ที่ว่ากันว่าคือก๊กพล.อ.ประยุทธ์แล้ว อย่างเช่น นายสุชาติ ที่เป็นเครือข่ายของนายกฯอยู่แล้ว รวมถึงการไปในพื้นที่ของกลุ่มสามมิตรอย่างพื้นที่ของนายอนุชา และนายสมศักดิ์ แม้ว่าจะดูสอดคล้องกับที่พล.อ.ประวิตร ในฐานะหัวหน้าพรรคจะกำชับ สส. ให้เดินหน้าลงพื้นที่ระหว่างการปิดสมัยประชุมสภา เพื่อรับฟังปัญหาของประชาชนมาแปลงสู่การปฏิบัติก็ตาม แต่ก็แอบคิดไม่ได้ว่าการที่นายกรัฐมนตรีไปลงพื้นที่ด้วยตนเองแบบเจาะกลุ่มเช่นนี้จะทำให้คนตั้งคำถามได้ว่าภายในพรรคพลังประชารัฐกำลังทำอะไรกันอยู่?
การเปิดดีลใหญ่ที่ผ่านมาของพรรคพลังประชารัฐ กับเพื่อไทย คือ การร่วมกันเดินหน้าเรื่องการเปลี่ยนรูปแบบการเลือกตั้งจากบัตร 1 ใบ กลับไปเป็นระบบบัตร 2 ใบ ที่ผ่านไปแล้ว เท่ากับว่ามองแล้วว่าพรรคจะเป็นพรรคขนาดใหญ่ขึ้น และกลัวเสียงบัญชีรายชื่อตกน้ำไปใช่หรือไม่? ในมุมเพื่อไทยเองครั้งที่แล้วเมื่อบัญชีรายชื่อหายไปก็ทำให้ขุนพลหลักหลายคนของเพื่อไทยหายไป การจับมือแบบไม่ตั้งใจในครั้งนี้ก็เพื่อหวังว่าจะทำให้พรรคได้เปรียบและมุ่งกวาดคะแนนที่เคยแบ่งให้อนาคตใหม่ไปในเขตที่ไทยรักษาชาติลงเพื่อเป็นพรรคใหญ่ในซีกอุดมการณ์ใกล้เคียงกัน ขณะที่พลังประชารัฐก็เห็นแนวทางแล้วว่าตนเองมีเขตมากขึ้น หากไม่เปลี่ยนก็อาจทำให้เสียงบางส่วนหายไปก็ได้ ยังประกอบกับห้วงการเลือกตั้งที่น่าจะมีสส.จากพรรคเล็ก พรรคกลางอีกมากที่มองทางลมแล้ว กลับไปเป็นบัตรสองใบการเข้าพรรคใหญ่มีโอกาสมากกว่าเห็นได้จาก สส. สายใต้หลายคนที่ไม่ได้สังกัดพรรคใหญ่ที่ออกมาบอกว่าคราวหน้าคงต้องกลับไปเข้าพรรคใหญ่อีกครั้งเพราะทำงานง่ายกว่า โอกาสมากกว่า ซึ่งพลังประชารัฐในฐานะพรรคใหญ่ก็คงประเมินสถานการณ์ได้อยู่แล้ว ยังรวมถึงการเจาะฐานพรรคร่วมที่มีอุดมการณ์ใกล้เคียงกันจะกระทำได้ง่ายกว่าใช่หรือไม่?
แม้ว่าจะมีการเปิดดีลใหญ่ที่ผ่านมาแต่ก็ไม่ได้หมายความเป็นคู่ตรงข้ามจะหมดไป เพราะเมื่อพรรคพลังประชารัฐมีรอยร้าว ก็เป็นโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามเดินหน้าเจาะทะลวงต่อไปได้ การทำให้เกิดเลือกตั้งเกิดขึ้นเร็วกว่ากำหนดก็ยังสามารถเดินเกมต่อไปได้ แต่เมื่อวิเคราะห์การขยับตัวของนายกฯเพื่อเรียกความมั่นใจจากฝ่ายประจำว่าอยู่ครบวาระ กระชับอำนาจภายในพรรคเพื่อยืนยันว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงนายกฯ และหากจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้บริหารก็แล้วแต่หัวหน้าพรรคคือ พล.อ.ประวิตร ซึ่งการกำหนดการเข้ามาถึงวันเลือกตั้งต้องพิจารณาถึงความพร้อมของผู้มีอำนาจ การตัดสินใจเลือกตั้งจึงเป็นไปตามการกำหนดเกมของนายกฯ แน่นอนว่าไม่มีใครจะกระโดดเข้าไปในเกมที่รู้ว่าแพ้ ถ้าตามกำหนดการรัฐบาลจะหมดวาระลงในเดือนมีนาคม 2566 ก็คาดเดาได้ว่าหากไม่อยู่จนครบจริงๆอาจจะเกิดขึ้นในช่วงกลางปี 2565 ก็ตาม ซึ่งก็ต้องรอดูสถานการณ์ความนิยมซึ่งน่าจะเชื่อมโยงกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ และสถานการณ์โควิด-19 รวมถึงการเลือกตั้งนายก อบต. ทั้งประเทศที่จะเป็นเครื่องเช็คคะแนนนิยมของรัฐบาล หากนายก อบต. ภายใต้การสนับสนุนของพรรคพลังประชารัฐชนะเหมือนการเลือกตั้งนายก อบจ. ที่ผ่านมาก็คงถึงเวลาของการพร้อมการเลือกตั้งสนามใหญ่
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นพล.อ.ประยุทธ์ ก็ต้องเดินหน้าทำงานต่อไป ปัญหาด้านการเมืองก็คือส่วนหนึ่งของการบริหารแต่อีกส่วนที่สำคัญคือเรื่องชีวิตของประชาชน ทั้งโควิด-19 และปัญหาปากท้องที่รุมเร้า หากนายกฯและครม. สามารถเยียวยาและเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ปากท้องกลับมาฟื้นอีกครั้งก็น่าจะทำให้คะแนนนิยมของนายกฯกลับมาได้ ถึงวันนั้นไม่ว่าการเลือกตั้งจะมาเมื่อไหร่ผลงานจะเป็นเครื่องตัดสินจากประชาชนเอง และที่สุดแล้วการเมืองก็ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร หากหันหน้ากลับมาพูดคุยกันและตกลงได้ลงตัวก็อาจจะผ่านพ้นวิกฤตไปได้........
“วันพรุ่งนี้” เต็มไปด้วยความหวังตลอดกาล
เนื่องเพราะยังมีวันพรุ่งนี้ ในโลกจึงมีคนจำนวนมากสามารถดำรงชีวิตต่อไป
(โกวเล้งจาก ไม่มีวันก้มหัวให้ )
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี