วันศุกร์ ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2568
สถานการณ์การแพร่ระบาดและการติดเชื้อของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19)ของไทยเหมือนวนลูปยังไงยังงั้น เพราะมันเหมือน “พุทธวจน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป” แล้วก็มีเหตุให้กลับมาเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปอีกเช่นนี้หลายกระทอก อย่างน้อยๆ ก็ 3-4 ระลอก
แต่ที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือพฤติกรรมฉกฉวย ดึง “วัคซีนเชื้อตาย-ไวรัล เวกเตอร์-mRNA” มาเป็น “วัคซีนการเมืองที่สร้างความสับสน สร้างชุดความคิดที่วุ่นวายไม่รู้จบอย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดประสงค์เพื่อสร้างวาทกรรม การบริหารงานที่ผิดพลาดล้มเหลวของรัฐบาลที่นักการเมืองชังชาติหนักแผ่นดินสัมภเวสีประณามว่าเป็นรัฐบาลสืบทอดอำนาจเผด็จการทหาร สืบทอดมาตรา 44
เชื่อว่าสังคมไทยยังจำเรื่องราวของ “วัคซีนเชื้อตายของซิโนแวคที่มีชาติกำเนิดในสาธารณรัฐประชาชนจีน”ได้ นักการเมืองชังชาติหนักแผ่นดินสัมภเวสีต่างประสานเสียงโหยหวนด้อยค่า “วัคซีน” นี้ เพียงเพราะเป็นวัคซีนยุคโบราณ “เชื้อตาย” และผลิตโดยจีน กระทั่งเรียกกันอย่างลืมอายไม่กระดากปากว่า “วัคซีนเสินเจิ้น” ทั้งที่ลืมไปว่า “เชื้อไวรัสโคโรนา” นั้นต้นกำเนิดมาจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่เขาสามารถสกัดกั้นเชื้อร้ายนี้ไม่ให้คร่าประชากรจีนไปมากมายกว่าที่เป็นอยู่
แต่นักการเมืองกลุ่มนั้นกลับคำรามเซ็งแซ่ให้รัฐบาล “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” จัดหา “วัคซีน” สมัยใหม่ที่เรียกว่า “mRNA” มาให้คนไทยฉีด พยายามโฆษณาเชิดชูให้สังคมไทยกดดันให้รัฐบาลจัดหา “วัคซีน mRNA ยี่ห้อไฟเซอร์”มาฉีดให้กับคนไทยราวกับว่าวัคซีนยี่ห้อดังกล่าวเป็น “วัคซีนเทพ”ที่คุณสมบัติดีเลิศประเสริฐศรีสามารถรักษาป้องกันการติดเชื้อไวรัสนี้ได้
ที่สุดรัฐบาลก็ผุดแผนจัดซื้อ “วัคซีน mRNA ไฟเซอร์” ลอตแรก 30 ล้านโดส โดยผู้ผลิตยืนยันที่จะส่งมอบสินค้าให้แก่รัฐบาลผู้ซื้อในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2564 และไตรมาสแรกของปี 2565 ทว่าในช่วงปลายเดือนกันยายน 2564 ก็ได้มีการจัดส่ง “วัคซีนไฟเซอร์ จำนวน 2 ล้านโดส จากจำนวนที่สั่ง 30 ล้านโดส ให้รัฐบาลไทย ซึ่งรัฐบาลได้วางแผนที่จะใช้วัคซีนนี้ฉีดให้แก่เด็กที่มีอายุระหว่าง 12-17 ปี เพื่อให้เด็กเหล่านี้กลับเข้าศึกษาในห้องเรียนในโรงเรียนแทนการเรียนออนไลน์ก่อนหน้านี้
แต่ก่อนอื่นเราต้องยอมรับความจริงข้อหนึ่งว่า การฉีดวัคซีนหรือไม่ฉีดวัคซีนเป็นสิทธิของนักเรียนที่จะเลือกรับการฉีดวัคซีนหรือไม่ด้วยตนเอง ในขณะที่รัฐบาลให้ดำเนินการโดยความยินยอมของพ่อแม่ผู้ปกครอง
เหมือนทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของนักการเมืองชังชาติหนักแผ่นดินสัมภเวสี แต่ข้อเท็จจริงกลับไม่เป็นเยี่ยงนั้น เมื่อปรากฏข่าวหลายชาติในทวีปยุโรปสั่งระงับการฉีดวัคซีนให้แก่เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป เนื่องจากมีผลการศึกษาพบว่า“วัคซีน mRNA ของไฟเซอร์” ส่งผลกระทบข้างเคียงให้เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบและกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบซึ่งเกิดกับเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง แม้จะมีรายงานการศึกษาในต่างประเทศออกมาว่าผลกระทบดังกล่าวเกิดขึ้นไม่สูงมากนัก และจะหายไปเองในราว 1 สัปดาห์
เรื่องนี้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์โจมตีรัฐบาลอีกครั้งด้วยข้อกล่าวหาที่ว่า เอาชีวิตเด็กนักเรียนมาเป็นหนูทดลองวัคซีนซะงั้น วัคซีนที่คนเหล่านี้อวยนักหนาว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ที่เล็งผลเลิศ แต่กลับพลิกหน้ามือเป็นหลังเท้าราวกับเป็นไม้หลักปักขี้ควายยังไงยังงั้น
เราอยากเห็นนักการเมืองยุติการนำ“วัคซีนโควิด-19” มาเป็น “วัคซีนการเมือง”เพื่อกอบโกยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทางการเมืองด้วยการสร้างวาทกรรมเสียที เพื่อสังคมไทยจะได้เดินไปต่อทั้งเด็กทั้งแก่ อย่างที่ควรจะเป็น

ปชป. ร่อนแถลงการณ์ ซัด พรรคส้ม ออกลูกงอแงหวังประโยชน์แก้ รธน. ยอมเอา ‘อธิปไตยชาติ’ มาเสี่ยง
ยุบสภา อนุทิน ยันแล้ว คืนอำนาจให้ประชาชน
คอนเฟิร์ม! นายกฯอนุทิน ยื่นยุบสภาแล้ว เผยต่อรอง ปชน. ชี้ สั่ง สว.ไม่ได้ ไม่โหวตตัดอำนาจ
สะพัด อนุทิน ยื่นยุบสภาคาไว้แล้ว ตั้งแต่เย็นวันนี้ ตัดหน้า ‘ปชน.’ ล่าชื่อซักฟอกรัฐบาล
สื่อนอกตีข่าว เหตุปะทะเดือดชายแดนไทย-กัมพูชา พลเรือน2ประเทศอพยพแล้วครึ่งล้านคน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี