สถานการณ์การแพร่ระบาดและการติดเชื้อของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19)ของไทยเหมือนวนลูปยังไงยังงั้น เพราะมันเหมือน “พุทธวจน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป” แล้วก็มีเหตุให้กลับมาเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปอีกเช่นนี้หลายกระทอก อย่างน้อยๆ ก็ 3-4 ระลอก
แต่ที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือพฤติกรรมฉกฉวย ดึง “วัคซีนเชื้อตาย-ไวรัล เวกเตอร์-mRNA” มาเป็น “วัคซีนการเมืองที่สร้างความสับสน สร้างชุดความคิดที่วุ่นวายไม่รู้จบอย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดประสงค์เพื่อสร้างวาทกรรม การบริหารงานที่ผิดพลาดล้มเหลวของรัฐบาลที่นักการเมืองชังชาติหนักแผ่นดินสัมภเวสีประณามว่าเป็นรัฐบาลสืบทอดอำนาจเผด็จการทหาร สืบทอดมาตรา 44
เชื่อว่าสังคมไทยยังจำเรื่องราวของ “วัคซีนเชื้อตายของซิโนแวคที่มีชาติกำเนิดในสาธารณรัฐประชาชนจีน”ได้ นักการเมืองชังชาติหนักแผ่นดินสัมภเวสีต่างประสานเสียงโหยหวนด้อยค่า “วัคซีน” นี้ เพียงเพราะเป็นวัคซีนยุคโบราณ “เชื้อตาย” และผลิตโดยจีน กระทั่งเรียกกันอย่างลืมอายไม่กระดากปากว่า “วัคซีนเสินเจิ้น” ทั้งที่ลืมไปว่า “เชื้อไวรัสโคโรนา” นั้นต้นกำเนิดมาจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่เขาสามารถสกัดกั้นเชื้อร้ายนี้ไม่ให้คร่าประชากรจีนไปมากมายกว่าที่เป็นอยู่
แต่นักการเมืองกลุ่มนั้นกลับคำรามเซ็งแซ่ให้รัฐบาล “พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” จัดหา “วัคซีน” สมัยใหม่ที่เรียกว่า “mRNA” มาให้คนไทยฉีด พยายามโฆษณาเชิดชูให้สังคมไทยกดดันให้รัฐบาลจัดหา “วัคซีน mRNA ยี่ห้อไฟเซอร์”มาฉีดให้กับคนไทยราวกับว่าวัคซีนยี่ห้อดังกล่าวเป็น “วัคซีนเทพ”ที่คุณสมบัติดีเลิศประเสริฐศรีสามารถรักษาป้องกันการติดเชื้อไวรัสนี้ได้
ที่สุดรัฐบาลก็ผุดแผนจัดซื้อ “วัคซีน mRNA ไฟเซอร์” ลอตแรก 30 ล้านโดส โดยผู้ผลิตยืนยันที่จะส่งมอบสินค้าให้แก่รัฐบาลผู้ซื้อในช่วงไตรมาส 4 ของปี 2564 และไตรมาสแรกของปี 2565 ทว่าในช่วงปลายเดือนกันยายน 2564 ก็ได้มีการจัดส่ง “วัคซีนไฟเซอร์ จำนวน 2 ล้านโดส จากจำนวนที่สั่ง 30 ล้านโดส ให้รัฐบาลไทย ซึ่งรัฐบาลได้วางแผนที่จะใช้วัคซีนนี้ฉีดให้แก่เด็กที่มีอายุระหว่าง 12-17 ปี เพื่อให้เด็กเหล่านี้กลับเข้าศึกษาในห้องเรียนในโรงเรียนแทนการเรียนออนไลน์ก่อนหน้านี้
แต่ก่อนอื่นเราต้องยอมรับความจริงข้อหนึ่งว่า การฉีดวัคซีนหรือไม่ฉีดวัคซีนเป็นสิทธิของนักเรียนที่จะเลือกรับการฉีดวัคซีนหรือไม่ด้วยตนเอง ในขณะที่รัฐบาลให้ดำเนินการโดยความยินยอมของพ่อแม่ผู้ปกครอง
เหมือนทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของนักการเมืองชังชาติหนักแผ่นดินสัมภเวสี แต่ข้อเท็จจริงกลับไม่เป็นเยี่ยงนั้น เมื่อปรากฏข่าวหลายชาติในทวีปยุโรปสั่งระงับการฉีดวัคซีนให้แก่เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป เนื่องจากมีผลการศึกษาพบว่า“วัคซีน mRNA ของไฟเซอร์” ส่งผลกระทบข้างเคียงให้เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบและกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบซึ่งเกิดกับเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิง แม้จะมีรายงานการศึกษาในต่างประเทศออกมาว่าผลกระทบดังกล่าวเกิดขึ้นไม่สูงมากนัก และจะหายไปเองในราว 1 สัปดาห์
เรื่องนี้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์โจมตีรัฐบาลอีกครั้งด้วยข้อกล่าวหาที่ว่า เอาชีวิตเด็กนักเรียนมาเป็นหนูทดลองวัคซีนซะงั้น วัคซีนที่คนเหล่านี้อวยนักหนาว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ที่เล็งผลเลิศ แต่กลับพลิกหน้ามือเป็นหลังเท้าราวกับเป็นไม้หลักปักขี้ควายยังไงยังงั้น
เราอยากเห็นนักการเมืองยุติการนำ“วัคซีนโควิด-19” มาเป็น “วัคซีนการเมือง”เพื่อกอบโกยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ทางการเมืองด้วยการสร้างวาทกรรมเสียที เพื่อสังคมไทยจะได้เดินไปต่อทั้งเด็กทั้งแก่ อย่างที่ควรจะเป็น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี