สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทย ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนเริ่มดีขึ้นตามลำดับ จากที่จำนวนผู้ป่วยใหม่ในแต่ละวันลดลงมาอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 7,000 ราย ในบางวัน และผู้เสียชีวิตที่ประมาณ 50 ราย โดยเฉลี่ยแต่ถ้าหากเอาตัวเลขของผู้ที่ตรวจว่าติดเชื้อโดยวิธี ATK มานับรวมด้วย ตัวเลขผู้ป่วยรายใหม่น่าจะอยู่ที่ประมาณวันละ 10,000 ราย และเชื่อว่ายังมีผู้ที่ติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งกลุ่มนี้สามารถจะแพร่กระจายเชื้อไปสู่คนรอบข้างได้โดยไม่ยากนัก การเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์การระบาดจึงต้องดำเนินไปอย่างใกล้ชิด จะประมาทไม่ได้เป็นอันขาด
ในภาพรวมของการจัดการโรคโควิด-19 ของรัฐบาลในครั้งนี้นั้น ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาอุปสรรคอยู่บ้างในระยะต้นแต่จากการที่ได้มีการประสานงานจากทุกภาคส่วนรวมทั้งความตั้งใจของรัฐบาลที่จะดูแลเรื่องนี้ให้ดีที่สุด และได้แก้ปัญหาโดยการรับฟังเรื่องราวจากส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะในเรื่องของการจัดหาวัคซีน ซึ่งจำเป็นจะต้องมีวัคซีนหลายชนิด หรือการจัดการวางแผนการฉีดวัคซีน ให้กระจายอย่างทั่วถึงในทุกกลุ่มของประชากร ทั้งกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เสี่ยงปานกลาง เสี่ยงน้อยๆ
รวมทั้งยังมีการจัดแบ่งพื้นที่ของการระบาดตามระดับความรุนแรงที่เกิดขึ้น ทำให้การจัดการเป็นระบบที่ชัดเจน ถึงแม้ว่าจนถึงขณะนี้จะมีประชาชนชาวไทยป่วยด้วยโรคนี้ไปแล้วมากกว่า 2 ล้านคน และเสียชีวิตไปมากกว่า 2 หมื่นคน หรือประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ของผู้เจ็บป่วย แต่ก็ยังน้อยกว่าอัตราการเสียชีวิตโดยเฉลี่ยของประชากรทั้งโลกที่ป่วยจากโรคนี้ ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 250 ล้านคน เสียชีวิตไปแล้วมากกว่า 5 ล้านคน หรือประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ และหากเทียบกับประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศที่สามารถพัฒนาและผลิตวัคซีนที่มีประสิทธิภาพได้เองตั้งแต่ต้น ก็มีผู้ป่วยแล้วมากกว่า 48 ล้านคน และก็มีผู้เสียชีวิตไปแล้วเกือบ 8 แสนคน หรือประมาณ 1.6 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วย หรือแม้แต่ประเทศอังกฤษ ซึ่งก็เป็นประเทศผู้พัฒนาและผลิตวัคซีนที่มีประสิทธิภาพเช่นกัน ก็มีผู้ป่วยเกิดขึ้นแล้ว 9.5 ล้านราย และมีผู้เสียชีวิตประมาณ 1.5 แสนรายคิดเป็นเกือบจะ 1.6 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งน่าจะแสดงให้เห็นว่าผลลัพธ์โดยรวมของการดูแลรักษาผู้ป่วยในประเทศไทยนั้นอยู่ในระดับที่ดีทีเดียว
ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นต้นมา รัฐบาลโดยกระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศให้โรงเรียนที่มี
ความพร้อม สามารถเริ่มเปิดการเรียนการสอนในโรงเรียนได้แล้ว และหลังจากวันที่ 15 พฤศจิกายนนี้ เป็นวันที่รัฐบาลประกาศให้โรงเรียนทุกแห่งทั่วประเทศสามารถจะเปิดการสอนในโรงเรียนได้
โดยมีการกำหนดแนวทาง ปฏิบัติเพื่อจะควบคุมไม่ให้เกิดการระบาดในโรงเรียน หรือหากเกิดการระบาดขึ้นก็จะสามารถควบคุมไม่ให้โรคนี้มีการแพร่กระจายไปในกลุ่มนักเรียนจำนวนมาก ซึ่งอาจจะมีการกระจายต่อเนื่องไปถึงครูและผู้ปกครอง กลายเป็นการระบาดแบบคลัสเตอร์ได้อีกซึ่งโดยความจริงแล้วเด็กนักเรียนที่มีการติดเชื้อนั้น ส่วนใหญ่ได้รับเชื้อมาจากพ่อแม่ ผู้ปกครองหรือผู้ที่อยู่ใกล้ชิดเอง
การที่รัฐบาลเชื่อมั่นว่าสามารถจะเปิดการศึกษาในโรงเรียนให้แก่เด็กและเยาวชนได้แล้วนั้น น่าจะมาจากข้อมูลซึ่งประกอบไปด้วยจำนวนของประชากรโดยทั่วไปทุกกลุ่ม ในเกือบจะทุกจังหวัดทั่วประเทศได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้ว มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ และในบางจังหวัดเช่นกรุงเทพฯ ตัวเลขของการฉีดวัคซีนมีเกินกว่า 100 เปอร์เซ็นต์แล้ว รวมทั้งความเชื่อมั่นจากการที่ขณะนี้จำนวนวัคซีนในประเทศมีอยู่อย่างพอเพียงและหลากหลายชนิด สามารถจัดสูตรฉีดต่างๆ ที่มีประสิทธิภาพในการสร้างภูมิต้านทานได้อย่างดี โดยคาดว่าภายในเดือนพฤศจิกายนนี้จำนวนผู้ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วจะบรรลุเป้าเกินกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ที่ตั้งไว้ ซึ่งเชื่อว่าสภาพภูมิคุ้มกันหมู่จะเกิดขึ้นในหมู่ประชากรโดยทั่วไป มีผลทำให้การระบาดลดน้อยลงรวมทั้งอาการที่เกิดจากโรคนี้ก็จะไม่รุนแรงด้วย
รายละเอียดของจำนวนประชากรไทยที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วจนถึงปัจจุบัน มีตัวเลขมากกว่า 85 ล้านโดส
จำนวนความครอบคลุมของผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 มีมากกว่า 45 ล้านราย หรือประมาณ 83 เปอร์เซ็นต์
ผู้ที่ฉีดเข็มที่ 2 แล้วมากกว่า 36 ล้านราย หรือประมาณ 66 เปอร์เซ็นต์
นอกจากนี้ ในส่วนของเยาวชนอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียนในระดับมัธยมศึกษานั้น ก็ได้รับการฉีดวัคซีนไปแล้วจากเป้าที่ตั้งไว้ 4.5 ล้านราย จนถึงปัจจุบันตัวเลขของผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนอยู่ที่ระดับ 4 ล้านราย ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่มากพอเพียงที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาครัฐได้ และหากย้อนไปดูจำนวนของ ผู้ป่วยเด็กที่ติดโรคโควิด-19 นั้น จะพบว่ามีจำนวนเป็นอัตราส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป รวมทั้งหากมีการได้รับเชื้อและมีอาการของโรคเกิดขึ้นอาการก็ไม่ค่อยจะรุนแรงนัก มีเด็กที่เสียชีวิต จากโรคโควิด-19 เป็นจำนวนเปอร์เซ็นต์ที่ต่ำมาก
ในส่วนของการเปิดโรงเรียนหรือสถานศึกษา ได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์โดยประกาศของกระทรวงศึกษาธิการตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคมนี้ไปแล้ว สำหรับโรงเรียนที่จะขอเปิดเรียนภายในโรงเรียนนั้นจะต้องดำเนินการตามมาตรการต่างๆและยื่นขออนุญาตต่อคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัด หรือคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานครก่อน โดยต้องจัดทำแผนงานและแสดงความพร้อมตามที่กำหนดไว้ในรูปแบบที่เรียกว่า Sandbox : Safety Zone in school ซึ่งสรุปเป็นมาตรการต่างๆ ได้ดังนี้
ประการแรกที่สำคัญที่สุดคือ ครูและนักเรียนในโรงเรียนนั้นต้องได้รับการฉีดวัคซีนครบโดสแล้วอย่างน้อย 85 เปอร์เซ็นต์ และมีการดำเนินการตามมาตรการที่เรียกว่า 6 มาตรการหลัก 6 มาตรการรองหรือมาตรการเสริม และ 7 มาตรการเข้ม
6 มาตรการหลัก ประกอบด้วย การเว้นระยะห่าง การสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือ การคัดกรองวัดไข้ ลดการแออัด และการทำความสะอาด
6 มาตรการรอง ประกอบด้วย การดูแลตนเองใช้ช้อนกลางส่วนตัว ทานอาหารปรุงสุกใหม่ ลงทะเบียนเข้าออกโรงเรียน การสำรวจตรวจสอบ และการกักกันตนเอง
ส่วน 7 มาตรการเข้ม ประกอบด้วย การประเมินตามแบบฟอร์ม TSC+ (Thai Stop Covid+) แล้วรายงานผลผ่าน MOE COVID ของกระทรวงศึกษาธิการ การจัดกิจกรรมแบบ Small Bubble จัดระบบให้บริการอาหารตามหลักสุขาภิบาลอาหารและนักโภชนาการ การจัดอนามัยสิ่งแวดล้อมตามเกณฑ์มาตรฐาน มีแผนเผชิญเหตุและมีการซักซ้อม (School isolation) การควบคุมการเดินทางจากบ้านไปโรงเรียน ประการสุดท้ายคือ School Pass สำหรับนักเรียนครูและบุคลากรในสถานศึกษา
จะเห็นว่าในส่วนของมาตรการหลักนั้น เป็นเรื่องของการจัดการให้มีการดำเนินชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่ ส่วนในเรื่องของมาตรการรองนั้น เป็นการปฏิบัติของแต่ละคนในการดำรงชีวิตประจำวันตามแนวปฏิบัติที่โรงเรียนกำหนดไว้ และมาตรการเข้ม เป็นสิ่งที่ทางสถานศึกษาหรือโรงเรียนจะต้องเป็นผู้ดำเนินการ ทั้งในส่วนของการประเมินนักเรียนแต่ละคน แล้วกรอกแบบประเมินแจ้งให้กระทรวงศึกษาธิการรับทราบ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นกลุ่มเล็กเช่นห้องเรียนมาตรฐานขนาด 8 คูณ 8 เมตร ให้จัดชั้นเรียนได้ไม่เกิน 25 คน โดยมีระยะห่างแต่ละโต๊ะเรียนไม่น้อยกว่า 1.5 เมตร การทานอาหารให้โรงเรียนจัดหาอาหารให้ถูกต้องและให้รับประทานอาหารเป็นรายบุคคล
กรณีที่ตรวจพบว่ามีเด็กนักเรียนคนใดสงสัยว่าจะติดเชื้อจะต้องมีการแยกเด็กออกเข้าสู่พื้นที่กักกันเบื้องต้น
ซึ่งจัดไว้ภายในโรงเรียน การไม่ให้ร่วมเดินทางเป็นกลุ่มใหญ่และครูนักเรียนและบุคลากรทุกคนจะต้องมีบัตรผ่าน ซึ่งแสดงถึงการที่เป็นผู้ได้รับวัคซีนแล้วและสามารถปฏิบัติตามกฎต่างๆ ได้
ส่วนเรื่องของการตรวจคัดกรองการติดเชื้อ โดยการใช้ชุดตรวจ ATK นั้น เดิมกำหนดให้นักเรียนทุกคนจะต้องได้รับการตรวจทุกสัปดาห์ แต่หลังจากมีการพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วเห็นว่าเรื่องดังกล่าวน่าจะเป็นการดำเนินการที่เกินกว่าที่ควรจะเป็น จึงให้ตรวจเฉพาะในกรณีที่ต้องสงสัยหรือเป็นผู้ที่เสี่ยงสัมผัสเท่านั้น
การจัดชั้นเรียนหรือกิจกรรมกลุ่มเล็กแบบ Small Bubble มีประโยชน์ในการควบคุมกรณีที่เกิดมีนักเรียนคนใดคนหนึ่งติดเชื้อ ก็สามารถจะสอบสวนที่มาที่ไปของการได้รับเชื้อโรค รวมทั้งการกักกันตัวเพื่อเข้าสู่ระบบของการเฝ้าระวังและการรักษาเป็นกลุ่มเล็กๆ โดยไม่ต้องมีการปิดโรงเรียน
จะเห็นว่ามาตรการดังกล่าวทั้งหมดนี้ ในทางปฏิบัติสำหรับบางโรงเรียน อาจจะยังทำได้ไม่ครบถ้วน ซึ่งเรื่องนี้ทางกระทรวงศึกษาธิการก็ได้ผ่อนปรนให้โรงเรียนที่ยังไม่พร้อมที่จะดำเนินการดังกล่าว สามารถจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์ได้ หรือจะจัดเป็นแบบผสมผสานโดยมีการสอนในโรงเรียนบางส่วน และออนไลน์บางส่วนได้ด้วยเช่นกัน
หลังจากเริ่มให้มีการเปิดโรงเรียนตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นต้นมา ปรากฏว่ามีรายงานของเด็กที่ติดเชื้อเกิดขึ้นบ้างแล้ว โดยข่าวแรกเป็นการติดเชื้อจากการตรวจด้วยชุด ATK จำนวน 80 ราย ที่โรงเรียนใน
อำเภอนิคมคำสร้อย จังหวัดมุกดาหาร แต่ภายหลังก็ยืนยันว่าเป็นความผิดพลาดของชุดตรวจ ให้ผลที่เรียกว่า false positive ซึ่งเรื่องนี้หน่วยงานที่เป็นผู้จัดหาชุดตรวจ ATK ควรจะต้องกลับไปทบทวนถึงการใช้ชุด ATK ที่ไม่มีประสิทธิภาพด้วย แต่หลังจากนั้นก็มีข่าวการติดเชื้อของเด็กจำนวนหนึ่งในโรงเรียนที่บ้านโนนสมบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ และล่าสุด คือการติดเชื้อของเด็กนักเรียนจำนวนหนึ่งในโรงเรียนในจังหวัดสระแก้ว ซึ่งคาดว่าการติดเชื้อนั้นน่าจะเป็นการติดเชื้อมาจากผู้ปกครองขณะนี้อยู่ในระหว่างการตรวจสอบ ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นสัญญาณที่ไม่ดีนัก
เรื่องที่ค่อนข้างชัดเจนในขณะนี้คือการติดเชื้อของเด็กทั้งหลายนั้น เกิดจากผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่
ผู้ปกครอง คนเลี้ยงเด็ก เป็นผู้แพร่เชื้อมาให้เด็กทั้งสิ้น และต้องไม่ลืมว่าในขณะนี้เด็กนักเรียนเป็นจำนวนอีกนับล้านรายที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเลย จึงถือว่าเป็นกลุ่มเปราะบางในการที่จะได้รับเชื้อและป่วยโดยง่าย และถ้าเด็กจำนวนมากติดเชื้อโรคนี้ ก็จะเป็นปัญหาใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งรัฐบาลโดยหน่วยงานที่รับผิดชอบต้องวางแผนเตรียมรับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้นี้ให้ดี
การปิดโรงเรียนในระยะยาว ถึงแม้จะจัดให้มีการเรียนการสอนในระบบออนไลน์ แต่ปัญหาอุปสรรคก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งในฝ่ายของผู้ปกครองบางส่วนซึ่งไม่มีความพร้อมในการจัดหาอุปกรณ์การเรียนให้กับเด็กๆ และการช่วยดูแลการเรียนของเด็ก อุปสรรคทางฝ่ายโรงเรียน ซึ่งหมายถึงความพร้อมของการจัดการให้มีการถ่ายทอดบทเรียน โดยครูอาจารย์ของโรงเรียนไปให้เด็กนักเรียนที่บ้าน หากมีการระบาดเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งวงจรของการจัดการศึกษาจะกลับมาสู่รูปแบบเดิม วิธีการปิดโรงเรียนหรือจัดการศึกษาออนไลน์ซึ่งผลการศึกษาไม่น่าจะดีนักนี้ย่อมกระทบกับคุณภาพการศึกษาของเด็กโดยส่วนรวม และถ้าหากเกิดขึ้นเป็นระยะยาวเกินไป ก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลและห่วงใยอย่างยิ่งในเรื่องคุณภาพของเด็ก ซึ่งถือเป็นกำลังสำคัญในการที่จะสร้างชาติในอนาคต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี