โดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นที่ชัดเจนและถึงที่สุดแล้วว่ามีขบวนการที่มีการจัดตั้งและมีการเคลื่อนไหวอย่างเป็นขบวนเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งทำให้เกิดความรับผิดแก่พรรคการเมืองนักการเมือง และบุคคลที่ร่วมขบวนการทั้งในทางการเมืองและในทางกฎหมาย
โดยเฉพาะความรับผิดทางกฎหมายนั้นเป็นความผิดอาญาร้ายแรงฐานกบฏในราชอาณาจักร ซึ่งมีโทษสถานหนักถึงขั้นประหารชีวิต ถึงแม้จะได้รับการผ่อนปรนโทษก็ยังเป็นโทษสถานหนักคือจำคุกตลอดชีวิต
ดังนั้นบรรดาผู้เกี่ยวข้องในขบวนการล้มล้างดังกล่าวจึงแสดงปฏิกิริยาตอบโต้กันเป็นการใหญ่ มีการอ้างองค์กรนักศึกษา 23 แห่ง นักวิชาการหน้าเก่าซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เคยประกาศว่าจะลาออกแล้วไม่กล้าลาออกราว 170 คน และประกาศชุมนุมใหญ่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2564 โดยมีผู้เข้าร่วมชุมนุมถึง 8 องค์กรใหญ่
มีการตีฆ้องร้องป่าวข่มขู่คุกคามว่าการที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเช่นนี้จะเป็นเหตุให้เกิดการนองเลือด จะเป็นเหตุให้เกิดสงครามประชาชน
ผลปรากฏว่าในการชุมนุมที่เรียกว่าชุมนุมใหญ่8 องค์กร เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2564 นั้น มีผู้ชุมนุมโหรงเหรงมากในระดับไม่เกิน 2,000 คน และรูปแบบการชุมนุมก็แบบเดิมคือไม่กี่ชั่วโมงก็แยกย้ายกันกลับไปนอนบ้าน
ที่น่าสังเกตและที่ทำให้เกิดความหวั่นไหวในบรรดาผู้ร่วมขบวนการล้มล้างก็คือบรรดาหัวโจกแกนนำทั้งหมดไม่ว่าที่เป็นนักการเมืองก็ดี ที่เป็นนักวิชาเกิน นักวิชากินที่โหวกเหวกโวยวายราวกับเป็นผู้กล้าหาญของแผ่นดินก็ดีหรือแม้แต่บรรดาหัวโจกของขบวนการล้มล้างก็ดี ไม่มีใครโผล่เข้าร่วมชุมนุมแม้แต่คนเดียว
ปล่อยให้ผู้ชุมนุมที่อยู่ในระดับลดหลั่นลงมาหวาดผวาว้าเหว่เดียวดาย ดังนั้นชั่ววูบชั่ววาบก็ต้องสลายตัว
ถ้าหากเปรียบเทียบการชุมนุมหรือขบวนการล้มล้างดังกล่าวแล้วกับการชุมนุมเมื่อครั้ง 14 ตุลา หรือ6 ตุลา ก็แตกต่างกันอย่างลิบลับ เพราะการชุมนุมในครั้งนั้นมีนักศึกษาประชาชนเข้าร่วมหลายแสนคน เป็นการชุมนุมโดยแสดงความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เพื่อต่อต้านอำนาจเผด็จการ
เป็นการชุมนุมที่แสดงความชิงชังรังเกียจที่อำนาจเผด็จการสมรู้สมยอมกับนักล่าอาณานิคมต่างชาติ แม้เปรียบเทียบกับการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและกลุ่ม กปปส. ก็แตกต่างกันอย่างลิบลับ เพราะการชุมนุมของสองขบวนนี้ก็ยังเป็นการชุมนุมที่มีจุดยืนอยู่ในการพิทักษ์รักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แต่ต่อต้านเผด็จการรัฐสภาที่โกงกินกัดกร่อนชาติบ้านเมือง
แม้เปรียบเทียบกับการชุมนุมของคนเสื้อแดงก็มีจำนวนคนเรือนแสนและต่อเนื่องยาวนาน เป็นการชุมนุมเพื่อต่อต้านรัฐบาลที่สมรู้สมยอมกับอำนาจเผด็จการ แต่เพราะความคาบลูกคาบดอกแกว่งไกวไปมาจึงทำให้การชุมนุมนั้นต้องปราชัยอย่างยับเยิน
ดังนั้นถ้าหากเปรียบเทียบขบวนการล้มล้างที่เคลื่อนไหวในทุกรูปแบบแล้ว ในทางปริมาณก็เทียบไม่ได้กับการชุมนุมทุกครั้งในอดีต
และโดยการชุมนุมที่มีผู้คนแค่ระดับ 2,000 คน นับว่าน้อยนิดเมื่อเปรียบเทียบกับประชากรไทย 70 ล้านคนหรือแม้เปรียบเทียบกับปริมาณคนเข้าร่วมการชุมนุมทุกครั้งดังพรรณนามานั้น โดยปริมาณขนาดนี้จึงไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้
ได้แต่สำเร็จความเพลิดเพลินใจในทางอารมณ์โดยทางโซเชียลมีเดียเท่านั้น ดังนั้นที่มีการกล่าวขานว่าเป็นขบวนการล้มล้างเสมือนจริงที่ฮือฮากันอยู่ในโลกโซเชียลก็ไม่ผิดไปเท่าใดนัก
แต่ที่เป็นอันตรายและนำหายนะมาสู่การเคลื่อนไหวดังกล่าวนั้นก็คือธงการเมืองหรือเป้าหมายทางการเมือง ที่แม้ว่าจะอ้างบ่ายเบี่ยงจำแลงแปลงรูปมาในรูปแบบใดๆ ก็ตาม แต่โดยคำปราศรัยทั้งหลายนับตั้งแต่มีการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต ที่ประกาศนามแกนนำ 10 คน และข้อเรียกร้อง 10 ข้อ ตลอดมาก็ล้วนเป็นการเคลื่อนไหวที่เปิดตัวโดยคน 10 คนนี้ และมีเนื้อหาสาระก็ขยายความออกไปจากข้อเรียกร้อง 10 ข้อนั่นเอง
ซึ่งทั้งหมดนั้นเมื่อประกอบเข้ากับการกระทำอันเป็นที่ประจักษ์อย่างต่อเนื่องหลายครั้งหลายหนที่มีการมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ ที่ประกาศตั้งสาธารณรัฐไทยที่ประกาศแยกดินแดน ที่เหยียดหยามย่ำยีพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ที่ทรงพระคุณอันประเสริฐเป็นที่ประจักษ์ตลอดจนการเผาพระบรมฉายาลักษณ์ และการกระทำอื่นๆในลักษณะเดียวกัน ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่าการกระทำทั้งหมดเหล่านี้เป็นขบวนการเพื่อล้มล้างการปกครอง อันเป็นที่สุดแล้ว
ธงการเมืองหรือแนวทางการเมืองดังกล่าวนอกจากเป็นความผิดทางกฎหมายร้ายแรงที่มีโทษถึงประหารชีวิตแล้ว ยังไม่สอดคล้องกับความปรารถนาของปวงชนชาวไทยทั้งประเทศซึ่งมั่นคงจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ มั่นคงอยู่ในเอกราชอธิปไตยและผลประโยชน์แห่งชาติ
ดังนั้นเมื่อขบวนการล้มล้างดังกล่าวได้อิงอ้างหรือเรียกร้องให้ต่างชาติเข้ามาครอบงำแทรกแซง จึงเป็นที่จับตาและถูกต่อต้านมากขึ้นโดยลำดับ
กระทั่งเป็นที่จับตาว่าขบวนการล้มล้างดังกล่าวนี้ทำการทั้งปวงเพื่อนำประเทศไทยไปเป็นประเทศราชของนักล่าอาณานิคมซึ่งเป็นปรปักษ์กับประชาชนไทยทั้งประเทศ
ในท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดโคบ้า วิกฤตการโกงบ้านกินเมืองที่แพร่ขยายระบาดไปทุกหย่อมหญ้า วิกฤตทางเศรษฐกิจที่ทุกภาคส่วนได้รับความเดือดร้อนทุกข์เข็ญถึงกับมีคนฆ่าตัวตาย ต้องปิดกิจการ ต้องตกงานเป็นจำนวนมาก รวมทั้งวิกฤตพลังงานที่ราคาสูงลิบลิ่ว และวิกฤตทางปากท้องที่ข้าวของแพงลิบลิ่ว แต่ผลผลิตของเกษตรกรกลับตกต่ำขายไม่ได้ ขบวนการล้มล้างเหล่านี้ไม่เคยเอ่ยถึง ไม่เคยเป็นปากเป็นเสียงแทนประชาชาติไทย
ไม่เคยแตะต้องนักการเมืองที่มีอำนาจที่กระทำการทั้งหลายเหล่านี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้น จึงเผยธาตุแท้ของขบวนการล้มล้างนี้ว่าแท้จริงแล้วได้ซ่อนเร้นวัตถุประสงค์ที่ไม่แตะต้องนักการเมืองที่มีอำนาจที่เป็นต้นตอปัญหาของชาติ และเอื้อเฟื้อต่อการแทรกแซงครอบงำของต่างชาติเลย มุ่งเน้นแต่จะล้มล้างสถาบันและการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเท่านั้น
สถานการณ์งวดเข้ามาทุกที ความจริงปรากฏชัดขึ้นทุกทีว่าขบวนการล้มล้างนี้ไม่ได้ต้องการเอกราชอธิปไตยและประชาธิปไตยเพื่อประโยชน์ของปวงชนชาวไทย แต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของต่างชาติที่ต้องการให้ประเทศชาติอยู่ภายใต้การครอบงำควบคุมของนักล่าอาณานิคม
เมื่อแนวทางการเมืองเป็นอย่างนี้ย่อมเป็นปรปักษ์กับผลประโยชน์แห่งชาติ และเป็นปฏิปักษ์ต่อประชาชาติไทยทั้งผอง และนี่ก็คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ขบวนการล้มล้างนี้ขยายตัวไม่ได้
และถ้าหากเปรียบเทียบกับการเริ่มต้นก่อนไวรัสระบาดที่เคยมีการชุมนุมในระดับ 40,000 คน ก็เป็นที่ชัดเจนว่ายิ่งนานวันไปขบวนการล้มล้างยิ่งสาละวันเตี้ยลงจนเหลือการชุมนุมระดับ 2,000 คน กระทั่งบรรดาหัวโจกแกนนำทั้งหลายไม่กล้าโผล่หน้าออกไป ต้องหลบอยู่ข้างหลังซุ่มๆ ซ่อนๆ
อย่างมากก็ได้แต่ออกเสียงในทางที่ยุยงส่งเสริมให้ลูกหลานชาวบ้านที่หลงผิดออกไปติดคุกแทนตัวเองเท่านั้น
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ประชาชาติไทยเห็นถึงภัยอันตรายของนักล่าอาณานิคมมากขึ้น ความสามัคคีปรองดองภายในชาติเพื่อป้องกันปัญหาการตกเป็นประเทศราชของต่างชาติจึงปลุกชาวไทยให้ตื่นขึ้นทั่วประเทศ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี