วันอาทิตย์ ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ร่วมกับ มูลนิธิเสนาะ อูนากูล สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) เปิดตัว “รายงานการพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืน ภาคตะวันออก ปี พ.ศ. 2564” นำเสนอผ่านช่องทางออนไลน์ เฟซบุ๊คแฟนเพจของ GISTDA ในงานสัมมนาวิชาการ การพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืนภาคตะวันออกเมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2565 ที่ผ่านมา
รายงานฉบับนี้เป็นการถอดบทเรียนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก อันประกอบด้วย3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง นับจากยุค “โครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard Development Program)” หรือที่เรียกกันย่อๆ ว่า “อีสเทิร์นซีบอร์ด (Eastern Seaboard)” ที่เริ่มต้นเมื่อ 4 ทศวรรษก่อน มาจนถึงยุค“ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern EconomicCorridor)” หรือ “อีอีซี (EEC)” ในปัจจุบัน
ณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานมูลนิธิเสนาะอูนากูล กล่าวว่า ด้วยความที่มีลักษณะพิเศษทางภูมิศาสตร์ มีชายฝั่งทะเลที่ยาวและสวยงาม อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงคือกรุงเทพฯ อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อกับภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือได้โดยสะดวก ประกอบกับการค้นพบแหล่งพลังงานก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ทำให้ภาคตะวันออกมีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของไทย
ดังที่ปรากฏใน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (ปี 2525-2529) และอีสเทิร์นซีบอร์ดได้เริ่มโครงการขึ้นในปี 2525 และได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง เกิดฐานการขนส่งสำคัญอย่างท่าเรือแหลมฉบังเกิดนิคมอุตสาหกรรมจำนวนมาก “แต่การพัฒนาอย่างรวดเร็วก็นำมาซึ่งผลกระทบอย่างมากเช่นกัน” ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาการพัฒนาเมือง ปัญหาชุมชน เพิ่มขึ้นตามการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และเร็วเกินกว่าความสามารถที่ภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชนจะแก้ไขได้ทัน
บทเรียนที่ได้รับจากอีสเทิร์นซีบอร์ด ซึ่งด้านเศรษฐกิจเติบโตเร็วแต่ก็แลกมาด้วยผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม นำมาสู่ความคาดหวังว่า “EEC จะไม่ซ้ำรอยเดิม” เพราะเป็นโครงการที่ถูกออกแบบมาดีกว่า เช่น มีทรัพยากรครบทั้งกำลังคน งบประมาณและกฎหมายเฉพาะ EEC จึงควรเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อม เช่น มีการจัดการน้ำ มลพิษทางอากาศและขยะ ด้านสังคมคือคุณภาพชีวิตที่ดี ควบคู่ไปกับการเติบโตและมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ
จากความคาดหวังข้างต้น ณรงค์ชัย กล่าวต่อไปว่ามูลนิธิเสนาะ อูนากูล ได้ร่วมกับ GISTDA และ TDRIจัดทำรายงานเป็นรายปี โดยใช้หลักฐานจริงทางวิทยาศาสตร์และผ่านการวิเคราะห์โดยนักวิเคราะห์ที่มีประสบการณ์ เพื่อเสนอแนะแนวทางแก้ปัญหา แต่ไม่ได้เป็นแนวทางบังคับและสามารถมีความเห็นที่แตกต่างได้ โดยอยากให้เป็นต้นแบบในการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภาคอื่นๆ ของประเทศไทยต่อไป
ปรียานุช ธรรมปิยา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(NIDA) ในฐานะบรรณาธิการของรายงานฉบับนี้ กล่าวถึงประเด็น “ขยะ-ของเสีย (Waste)” ทั้งจากชุมชนและอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหัวข้อที่รายงานประจำปีนี้ให้ความสำคัญ มีการถอดบทเรียนจากต่างประเทศ วิเคราะห์ตั้งแต่ “ต้นน้ำ” คือจิตสำนึกผู้บริโภค ชุมชนและอุตสาหกรรมต้องจัดการขยะตั้งแต่ต้นทาง “กลางน้ำ” หรือระบบบริหารจัดการขยะ ที่ควรนำเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ และ “ปลายน้ำ” การใช้ฐานข้อมูลในการแก้ไขปัญหาและป้องกันปัญหาในอนาคต
รศ.ดร.อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(NIDA) กล่าวว่า การย้ายฐานการผลิตออกนอกประเทศของญี่ปุ่น ทำให้ Eastern Seaboard เติบโตอย่างก้าวกระโดดมาก โดยข้อมูลจากปี 2560 นิคมอุตสาหกรรม32 แห่ง อยู่ใน 2 จังหวัด คือ ชลบุรี และระยอง จากทั้งหมดประมาณ 60 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งก็จะปรากฏใน 2 มุม คือ “ความสำเร็จ” หมายถึงการสร้างรายได้การจ้างงาน เม็ดเงินที่คืนกลับสู่ภาครัฐในรูปภาษี กับอีกมุมคือ “ข้อห่วงใย” หลายเรื่อง อาทิ
“การจัดการพื้นที่ให้สอดคล้องกับจำนวนผู้ประกอบการ” เพื่อไม่ให้แต่ละพื้นที่มีผู้ประกอบการเกินกว่าที่พื้นที่นั้นรองรับได้ “การจัดสรรทรัพยากรน้ำ”เพราะพื้นที่อุตสาหกรรมต้องใช้น้ำมาก และต้องผันน้ำมาจากพื้นที่อื่นๆ โดยรอบ ซึ่งจะทำให้ภาคเกษตรกรรมที่อาจจะไม่ได้รับน้ำมากเท่าที่ควรได้รับผลกระทบ คำถามคือจะบริหารจัดการอย่างไรเพื่อให้ทั้ง 2 ภาคไปด้วยกันได้“ผังเมือง” ที่ผ่านมาจะพบปัญหา พื้นที่อุตสาหกรรมขยายตัวไปประชิดกับชุมชน จึงควรวางแผนไว้ตั้งแต่แรกว่าอะไรจะตั้งตรงจุดไหน ซึ่งรวมถึงโรงงานกำจัดของเสียด้วยเป็นต้น
กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงค์ นักวิชาการอาวุโส นโยบายด้านภูมิอากาศและการพัฒนาสีเขียว TDRI ขยายความประเด็นขยะใน 3 จังหวัดเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เช่น ขยะจากชุมชน พบว่า ในขณะที่ปริมาณขยะในชลบุรีและระยองยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นปริมาณขยะในฉะเชิงเทราช่วงปีหลังๆ กลับมีแนวโน้มลดลง ซึ่งเกิดจากการสร้างความตระหนักรู้ ขณะที่ในด้านโรงงานกำจัดขยะ ชลบุรีกับระยอง พบการรวมกลุ่มขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่อยู่ใกล้เคียงกันเพื่อตั้งโรงไฟฟ้าจากขยะ (RDF) ส่วนฉะเชิงเทราอยู่ระหว่างการสำรวจความเหมาะสม
แต่ทั้ง 3 จังหวัด ยังมีประเด็นท้าทาย คือการนำขยะมาเทกองไว้กลางแจ้ง ซึ่งยังพบมากถึงร้อยละ 52 จึงคาดหวังว่าในอนาคตจะเปลี่ยนไปสู่การกำจัดขยะอย่างถูกวิธีมากขึ้น นอกจากนั้นยังมีปัญหาขยะติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 โดยขยะติดเชื้อต้องถูกกำจัดด้วยการเผาในความร้อนสูง 800-1,000 องศาเซลเซียส แต่พบว่าแม้กระทั่งใน จ.ระยอง ซึ่งเป็นจังหวัดเดียวที่มีเตาเผาระดับดังกล่าวซึ่งสามารถกำจัดได้ 3.6 ตันต่อวัน ก็ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากปริมาณขยะติดเชื้อในปัจจุบันอยู่ที่ 10-12 ตันต่อวัน ทำให้เกิดปัญหาขยะตกค้างในชุมชน
นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่ง ผู้สนใจสามารถเข้าไปฟังเสวนาเปิดตัวรายงานได้ที่ https://www.facebook.com/gistda/videos/1818657815002228/ ซึ่งในช่องความคิดเห็นด้านล่างจะมีรายงานฉบับเต็มที่เป็นไฟล์ PDF ให้ดาวน์โหลดไปอ่านกันด้วย!!!

‘พาณิชย์’เผยไทยเดินหน้า พร้อมเจรจาการค้ากับ‘สหรัฐ’ หลังผู้นำ 2 ประเทศหารือเชิงบวก
‘ในหลวง-พระราชินี’เสด็จฯศูนย์นวัตกรรมหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ กรุงปักกิ่ง ทอดพระเนตรสาธิตรุ่น‘เทียนกง’
รายงานพิเศษ : ‘The Old Man Town’ อบต.ม่วงคำ ต้นแบบดูแล ‘ผู้สูงอายุ’ ครบวงจร
‘อันวาร์’โทร.หา‘อนุทิน’อีกรอบ แจ้งผลหารือ‘ทรัมป์’ ยันไม่นำ‘ปฏิญญา’ปนเรื่อง‘ภาษี’
เศรษฐศาสตร์วันหยุด : ว่าด้วยเรื่องการสรรหา ผู้อำนวยการใหญ่...ทอท. คนใหม่

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี