สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ร่วมกับ มูลนิธิเสนาะ อูนากูล สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) และสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) เปิดตัว “รายงานการพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืน ภาคตะวันออก ปี พ.ศ. 2564” นำเสนอผ่านช่องทางออนไลน์ เฟซบุ๊คแฟนเพจของ GISTDA ในงานสัมมนาวิชาการ การพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืนภาคตะวันออกเมื่อวันที่ 11 ม.ค. 2565 ที่ผ่านมา
รายงานฉบับนี้เป็นการถอดบทเรียนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก อันประกอบด้วย3 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง นับจากยุค “โครงการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (Eastern Seaboard Development Program)” หรือที่เรียกกันย่อๆ ว่า “อีสเทิร์นซีบอร์ด (Eastern Seaboard)” ที่เริ่มต้นเมื่อ 4 ทศวรรษก่อน มาจนถึงยุค“ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern EconomicCorridor)” หรือ “อีอีซี (EEC)” ในปัจจุบัน
ณรงค์ชัย อัครเศรณี ประธานมูลนิธิเสนาะอูนากูล กล่าวว่า ด้วยความที่มีลักษณะพิเศษทางภูมิศาสตร์ มีชายฝั่งทะเลที่ยาวและสวยงาม อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงคือกรุงเทพฯ อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อกับภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือได้โดยสะดวก ประกอบกับการค้นพบแหล่งพลังงานก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ทำให้ภาคตะวันออกมีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของไทย
ดังที่ปรากฏใน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 5 (ปี 2525-2529) และอีสเทิร์นซีบอร์ดได้เริ่มโครงการขึ้นในปี 2525 และได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง เกิดฐานการขนส่งสำคัญอย่างท่าเรือแหลมฉบังเกิดนิคมอุตสาหกรรมจำนวนมาก “แต่การพัฒนาอย่างรวดเร็วก็นำมาซึ่งผลกระทบอย่างมากเช่นกัน” ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาการพัฒนาเมือง ปัญหาชุมชน เพิ่มขึ้นตามการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และเร็วเกินกว่าความสามารถที่ภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชนจะแก้ไขได้ทัน
บทเรียนที่ได้รับจากอีสเทิร์นซีบอร์ด ซึ่งด้านเศรษฐกิจเติบโตเร็วแต่ก็แลกมาด้วยผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม นำมาสู่ความคาดหวังว่า “EEC จะไม่ซ้ำรอยเดิม” เพราะเป็นโครงการที่ถูกออกแบบมาดีกว่า เช่น มีทรัพยากรครบทั้งกำลังคน งบประมาณและกฎหมายเฉพาะ EEC จึงควรเป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อม เช่น มีการจัดการน้ำ มลพิษทางอากาศและขยะ ด้านสังคมคือคุณภาพชีวิตที่ดี ควบคู่ไปกับการเติบโตและมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ
จากความคาดหวังข้างต้น ณรงค์ชัย กล่าวต่อไปว่ามูลนิธิเสนาะ อูนากูล ได้ร่วมกับ GISTDA และ TDRIจัดทำรายงานเป็นรายปี โดยใช้หลักฐานจริงทางวิทยาศาสตร์และผ่านการวิเคราะห์โดยนักวิเคราะห์ที่มีประสบการณ์ เพื่อเสนอแนะแนวทางแก้ปัญหา แต่ไม่ได้เป็นแนวทางบังคับและสามารถมีความเห็นที่แตกต่างได้ โดยอยากให้เป็นต้นแบบในการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภาคอื่นๆ ของประเทศไทยต่อไป
ปรียานุช ธรรมปิยา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(NIDA) ในฐานะบรรณาธิการของรายงานฉบับนี้ กล่าวถึงประเด็น “ขยะ-ของเสีย (Waste)” ทั้งจากชุมชนและอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหัวข้อที่รายงานประจำปีนี้ให้ความสำคัญ มีการถอดบทเรียนจากต่างประเทศ วิเคราะห์ตั้งแต่ “ต้นน้ำ” คือจิตสำนึกผู้บริโภค ชุมชนและอุตสาหกรรมต้องจัดการขยะตั้งแต่ต้นทาง “กลางน้ำ” หรือระบบบริหารจัดการขยะ ที่ควรนำเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ และ “ปลายน้ำ” การใช้ฐานข้อมูลในการแก้ไขปัญหาและป้องกันปัญหาในอนาคต
รศ.ดร.อดิศร์ อิศรางกูร ณ อยุธยา คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(NIDA) กล่าวว่า การย้ายฐานการผลิตออกนอกประเทศของญี่ปุ่น ทำให้ Eastern Seaboard เติบโตอย่างก้าวกระโดดมาก โดยข้อมูลจากปี 2560 นิคมอุตสาหกรรม32 แห่ง อยู่ใน 2 จังหวัด คือ ชลบุรี และระยอง จากทั้งหมดประมาณ 60 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งก็จะปรากฏใน 2 มุม คือ “ความสำเร็จ” หมายถึงการสร้างรายได้การจ้างงาน เม็ดเงินที่คืนกลับสู่ภาครัฐในรูปภาษี กับอีกมุมคือ “ข้อห่วงใย” หลายเรื่อง อาทิ
“การจัดการพื้นที่ให้สอดคล้องกับจำนวนผู้ประกอบการ” เพื่อไม่ให้แต่ละพื้นที่มีผู้ประกอบการเกินกว่าที่พื้นที่นั้นรองรับได้ “การจัดสรรทรัพยากรน้ำ”เพราะพื้นที่อุตสาหกรรมต้องใช้น้ำมาก และต้องผันน้ำมาจากพื้นที่อื่นๆ โดยรอบ ซึ่งจะทำให้ภาคเกษตรกรรมที่อาจจะไม่ได้รับน้ำมากเท่าที่ควรได้รับผลกระทบ คำถามคือจะบริหารจัดการอย่างไรเพื่อให้ทั้ง 2 ภาคไปด้วยกันได้“ผังเมือง” ที่ผ่านมาจะพบปัญหา พื้นที่อุตสาหกรรมขยายตัวไปประชิดกับชุมชน จึงควรวางแผนไว้ตั้งแต่แรกว่าอะไรจะตั้งตรงจุดไหน ซึ่งรวมถึงโรงงานกำจัดของเสียด้วยเป็นต้น
กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงค์ นักวิชาการอาวุโส นโยบายด้านภูมิอากาศและการพัฒนาสีเขียว TDRI ขยายความประเด็นขยะใน 3 จังหวัดเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เช่น ขยะจากชุมชน พบว่า ในขณะที่ปริมาณขยะในชลบุรีและระยองยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นปริมาณขยะในฉะเชิงเทราช่วงปีหลังๆ กลับมีแนวโน้มลดลง ซึ่งเกิดจากการสร้างความตระหนักรู้ ขณะที่ในด้านโรงงานกำจัดขยะ ชลบุรีกับระยอง พบการรวมกลุ่มขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่อยู่ใกล้เคียงกันเพื่อตั้งโรงไฟฟ้าจากขยะ (RDF) ส่วนฉะเชิงเทราอยู่ระหว่างการสำรวจความเหมาะสม
แต่ทั้ง 3 จังหวัด ยังมีประเด็นท้าทาย คือการนำขยะมาเทกองไว้กลางแจ้ง ซึ่งยังพบมากถึงร้อยละ 52 จึงคาดหวังว่าในอนาคตจะเปลี่ยนไปสู่การกำจัดขยะอย่างถูกวิธีมากขึ้น นอกจากนั้นยังมีปัญหาขยะติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 โดยขยะติดเชื้อต้องถูกกำจัดด้วยการเผาในความร้อนสูง 800-1,000 องศาเซลเซียส แต่พบว่าแม้กระทั่งใน จ.ระยอง ซึ่งเป็นจังหวัดเดียวที่มีเตาเผาระดับดังกล่าวซึ่งสามารถกำจัดได้ 3.6 ตันต่อวัน ก็ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากปริมาณขยะติดเชื้อในปัจจุบันอยู่ที่ 10-12 ตันต่อวัน ทำให้เกิดปัญหาขยะตกค้างในชุมชน
นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่ง ผู้สนใจสามารถเข้าไปฟังเสวนาเปิดตัวรายงานได้ที่ https://www.facebook.com/gistda/videos/1818657815002228/ ซึ่งในช่องความคิดเห็นด้านล่างจะมีรายงานฉบับเต็มที่เป็นไฟล์ PDF ให้ดาวน์โหลดไปอ่านกันด้วย!!!
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี