ปีงบประมาณ 2565 ที่เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 ผ่านมาหนึ่งไตรมาสเต็มๆ แล้ว และกำลังย่างเข้าปลายเดือนแรกของไตรมาสที่สองแล้ว ซึ่งถ้าเป็นสถานการณ์ปกติงบประมาณแผ่นดินของปีงบประมาณใหม่นี้จะถูกระดมนำออกไปใช้ราว 40-50% เพื่อเป็นพลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และทำให้การพัฒนาประเทศก้าวเดินไปอย่างรวดเร็ว
ปีงบประมาณ 2564 ได้ตั้งงบประมาณไว้ 3.1 ล้านล้านบาท ที่จะต้องนำไปใช้จ่าย ในจำนวนนี้ได้ตั้งประมาณการรายได้ที่จัดเก็บจากภาษีอากรทุกประเภท รวมทั้งรัฐพาณิชย์ 2.4 ล้านล้านบาท และต้องกู้เงินมาใช้ชดเชยรายได้ที่ไม่พอจ่ายอีก 700,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลจะต้องออกกฎหมายหรือดำเนินการกู้เงิน
มาใช้จ่ายตามงบประมาณ
และผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจที่กระทบจากการแพร่ระบาดของโคบ้าทำให้การจัดเก็บรายได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เฉพาะไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ 2564 ก็ขาดเป้าไปถึง 300,000 ล้านบาทและคาดหมายว่าไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2565 ก็จะขาดเป้าหมายไม่ได้น้อยกว่ากัน ซึ่งหมายความว่ารายได้ที่กะว่าจะได้ก็เก็บไม่ได้ตามเป้าหมายและขาดจำนวนไปถึง 300,000 ล้านบาทด้วย
เพราะเหตุที่มีความไม่ลงตัวกันภายในรัฐบาล ซึ่งสามารถเห็นปรากฏการณ์ได้ชัดเจนจากการที่สภาล่มแล้วล่มอีก จึงทำให้เกิดความกริ่งเกรงว่าถ้ารัฐบาลเสนอกฎหมายสำคัญโดยเฉพาะกฎหมายเกี่ยวกับการเงินหรือกฎหมายเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินก็จะมีความเสี่ยงที่กฎหมายนั้นอาจจะถูกคว่ำ คือมีคะแนนเสียงน้อยกว่าเสียงของฝ่ายค้าน เพราะเพียงแค่ สส.ฝ่ายรัฐบาลไม่เข้าประชุมไม่กี่คนรัฐบาลก็แพ้มติโดยง่ายแล้ว
ดังนั้นแม้รัฐสภาจะเปิดสมัยประชุมมาถึงครึ่งเทอมแล้ว แต่ปรากฏว่าไม่มีกฎหมายสำคัญเข้าสู่การพิจารณาของสภาเลย มีแต่กฎหมายที่เสนอโดยภาคประชาชนบ้าง ที่เสนอโดยฝ่ายค้านบ้าง ซึ่งเรื่องนี้คือประจักษ์พยานที่ชัดเจนว่ามีความไม่ลงตัวในพรรคร่วมรัฐบาล จึงเป็นเหตุให้ไม่สามารถนำเสนอกฎหมายสำคัญต่อสภาได้
เพราะถ้ากฎหมายสำคัญของรัฐบาลไม่ผ่านการพิจารณา รัฐบาลก็ต้องลาออกหรือไม่ก็ต้องยุบสภา ซึ่งขณะนี้ประชาชนก็จับไต๋ได้ว่ารัฐบาลต้องการอยู่ในอำนาจต่อไปให้นานที่สุด แม้กระทั่งอาจยอมฝ่าบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่ห้ามนายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งเกิน 8 ปี โดยอาจจะต้องเซ่นสังเวยด้วยสถาบันอื่นๆ เพื่อสืบต่ออำนาจก็ได้
ดังนั้นการที่ไม่มีกฎหมายสำคัญเข้าสู่การพิจารณาของสภา ซึ่งแม้จะเกิดความเสียหายใหญ่หลวงต่อการบริหารราชการแผ่นดิน เพราะการบริหารของรัฐบาลนั้นต้องอาศัยกฎหมาย เมื่อออกกฎหมายไม่ได้ก็เท่ากับยืนชะเง้ออยู่ริมทะเลเฉยๆ จึงทั้งเสียหายและเสียเวลาของประเทศชาติ แต่กระนั้นแล้วเหตุการณ์นี้ก็ยังคงดำรงอยู่ และไม่มีใครบอกได้ว่าจะเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกนานเท่าใด
แต่ในเรื่องการเงินนั้นเป็นสายเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงการบริหารราชการแผ่นดิน รายจ่ายทั้งหลายของรัฐไม่ว่าที่เป็นเงินเดือน เบี้ยเลี้ยงของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐบรรดาค่าใช้จ่ายจิปาถะในทางราชการและในการลงทุนเพื่อการพัฒนาทั้งหลาย หรือในการซ่อมแซมถนนหนทางห้วยหนองคลองบึงบานและสิ่งก่อสร้างต่างๆ ก็ต้องใช้เงินงบประมาณ
ดังนั้นเมื่อเงินที่จะนำมาใช้จ่ายไม่เพียงพอและยังไม่สามารถจัดหาได้จึงเกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง ดังจะเห็นได้จากขณะนี้บางหน่วยงานได้เริ่มปลดพนักงานชั่วคราวร่วม 2,000-3,000 คน และเหตุการณ์แบบนี้ก็คงจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แม้กระทั่งกำหนดการเรียกข้าราชการรุ่นใหม่เข้ารับราชการแทนที่ปลดเกษียณในแต่ละปีก็มีอาการชะลอให้เห็นอย่างเด่นชัด ในขณะที่งบประมาณของส่วนราชการต่างๆ ก็ไม่ได้เลื่อนไหลเหมือนปกติอีกแล้ว
ขณะนี้การใช้งบประมาณ 2565 จะนำไปใช้แล้วเท่าใดยังไม่ปรากฏตัวเลขแน่ชัด แต่พอคาดหมายได้ว่าไม่มีทางที่จะถึง 40-50% ตามปกติ ซึ่งย่อมกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ และแน่นอนว่าย่อมกระทบต่อ GDP ด้วย แต่จะเป็นเท่าใดนั้นก็ต้องรอฟังรายงานผลในช่วงไตรมาสที่สองนี้
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ได้เกิดวิกฤตในลักษณะนี้มาหนหนึ่งแล้ว ถึงขนาดไม่มีเงินใช้จ่ายเงินเดือนข้าราชการ จนต้องปลดและลดข้าราชการจำนวนมาก และสร้างความไม่พอใจขึ้นอย่างกว้างขวาง จนเป็นหนึ่งในชนวนของการเปลี่ยนแปลงการปกครองดังนั้นจึงต้องสำเหนียกไว้ให้จงหนักว่าประวัติศาสตร์อาจจะซ้ำรอยเดิมก็ได้ และถ้าซ้ำรอยขึ้นมาคราวนี้รอยแผลจะใหญ่โตกว่าปี 2475 มากมายนัก เพราะในขณะนั้นวงเงินงบประมาณอยู่แค่ระดับแสนล้านบาทเท่านั้น
อาจจะสงสัยกันว่าเหตุไฉนเล่าจึงมีการพิจารณาอนุมัติการใช้จ่ายเงินจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง เช่น การสร้างสนามบิน สร้างถนน ซื้อเครื่องบิน และอะไรต่อมิอะไร
จำนวนมาก กรณีเหล่านี้ถ้ามีการตั้งงบประมาณเอาไว้ก็สามารถอนุมัติโครงการได้ แต่จะมีเงินมาใช้จ่ายจริงหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เพราะแม้เมื่อมีการอนุมัติโครงการแล้วแต่ถ้าไม่มีเงินมาใช้โครงการนั้นก็ต้องชะลออยู่ดี เพราะเป็นเรื่องที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องกำกับดูแล
ส่วนเงินที่นำไปใช้จ่ายประเภทลดแลกแจกแถมหรือแบ่งครึ่งกันนั้น ในขณะนี้ไม่มีใครทราบว่าเป็นการเอาเงินจากไหนไปใช้ แต่ถ้าฟังสุ้มเสียงจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินก็ส่อเบาะแสว่าเป็นการนำเงินนอกงบประมาณไปใช้ ซึ่งเงินนอกงบประมาณนี้เอามาจากไหนยังคงเป็นปัญหาว่าเอามาโดยชอบและได้นำไปใช้โดยชอบด้วยกฎหมายวิธีการงบประมาณ กฎหมายงบประมาณ และกฎหมายเงินคงคลังหรือไม่
วันใดเรื่องแตกขึ้นมาก็อาจจะหนักหนากว่าเรื่องโครงการรับจำนำข้าวหลายเท่านัก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี