คดีดังที่ทนายแสดงความมั่นใจต่อสังคมว่าผู้ต้องหาทำความผิดร้ายแรงเป็นอาญาแผ่นดินที่ยอมความกันไม่ได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ประเด็นคุกคามทางเพศค่อยๆ จางหายทุกฝ่ายทุ่มเทความสนใจไปที่ทำลายกันทางการเมือง
นักร้องเรียน นักกิจกรรมของพรรคการเมืองนักวิเคราะห์การเมืองทั้งในพรรคและคนนอกพรรค พากันตำหนิวิจารณ์ตลอดถึงสื่อสารมวลชนทั้งหลายทุ่มเทความสนใจประเด็นทางเมืองเป็นเรื่องใหญ่กว่า
หากสังเกตก็เห็นความบกพร่องของเรื่องนี้ ตั้งแต่วันแรกที่นักกิจกรรมทางการเมือง ที่เคลื่อนไหวไม่ได้สนใจในตัวผู้ต้องหาเท่าไหร่ แต่นักเคลื่อนไหวทางการเมืองแห่กันไปทำกิจกรรมตำหนิด่าว่าหัวหน้าพรรคพระแม่ธรณีฯถึงที่ทำการพรรค
หนึ่งอาทิตย์ต่อมาทนายความผู้มั่นใจว่าคดีอาญาแผ่นดินที่ยอมความกันไม่ได้ ผู้ต้องหาต้องได้รับการลงโทษตามกบิลเมืองแต่เมื่อเวลาผ่านไปทนายความผู้เสียหายกลับออกมาโวยวายว่าผู้เสียหายไม่ให้ความร่วมมือ และโวยวายว่าอาจมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เข้าไปแทรกแซงการดำเนินคดีของเจ้าหน้าที่ผู้ทำการสอบสวน
หากผู้เสียหายไม่ให้ความร่วมมือกับทนาย ดังที่มีเสียงโวยวายออกมา ก็อาจเป็นไปได้ว่าผู้เสียหายและครอบครัวเริ่มสงสัยว่าผู้เสียหายอาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทำลายทางการเมืองของอีกฝ่ายหรือไม่? สื่อกระแสหลัก สื่อกระแสรองและบรรดานักร้องเรียน นักการเมืองฝ่ายตรงข้าม ก็พากันเบี่ยงประเด็นทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปที่ทำลายกันทางการเมือง
นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ผู้เปิดประเด็นลวนลามคุกคามทางเพศ แสดงความไม่แน่ใจว่า คดีจะดำเนินต่อไปอย่างไรได้เปิดเผยกับสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 20 เมษายน ว่า
“กรณีมีกระแสข่าวผู้เสียหาย กรณีถูกอดีตนักการเมืองข่มขืนและลวนลาม ถอนแจ้งความ ยืนยันว่ายังไม่มีการถอนแจ้งความแต่อย่างใด แต่ยอมรับว่ามีผู้เสียหายทั้งคนเก่าที่แจ้งความไปแล้ว และผู้เสียหายคนใหม่ที่ยังไม่ได้แจ้งความไม่ให้ความร่วมมือ”
เมื่อวันที่ 23 เม.ย. นายษิทรา โพสต์ข้อความว่า “ถ้าใครมาขอให้ผมช่วยทำคดีอะไร แล้วผมขออนุญาตนำลงเรื่องเพจแล้วเป็นคดีดังขึ้นมา อยู่ดีๆ มาขอให้ลบ หรือดัดแปลงข้อมูลเพื่อเอาตัวรอด ผมไม่ทำให้นะครับ..ฯ”
หากสื่อและสังคมได้ใช้สติปัญญาใคร่ครวญว่าทำไมผู้เสียหายจึงไม่ให้ความร่วมมือกับทนาย ทั้งๆ ที่ในวันที่ 13 เมษายน 2565 ทนายเปิดแถลงข่าวอย่างมั่นใจว่าผู้เสียหายและมารดา บอกว่าจะดำเนินคดีถึงที่สุด
เป็นไปได้ไหมว่า เมื่อเรื่องบานปลายออกไปฝ่ายผู้เสียหายสำนึกได้ว่า อาจกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองของอีกฝ่ายที่จ้องทำลายทางการเมืองฝั่งตรงข้าม
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อผัวของผู้ต้องหาคนที่สองซึ่งอ้างถูกข่มขืนมาตั้งปี’64 แต่เพิ่งมาแจ้งความตอนนี้ ที่สำคัญผัวของผู้ต้องหาซึ่งเป็นนักเคลื่อนไหวฝ่ายสามกีบ ไปเหยียดหยามศักดิ์ศรีของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่จนอาจกลายเป็นคดีหมิ่นประมาทได้ในอนาคต
ส่วนทนายความ ตัวตั้งตัวตี เมื่อผู้เสียหายไม่ให้ความร่วมมือก็เบี่ยงประเด็นว่าอาจจะมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เข้ามาแทรกแซงการดำเนินคดี ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ปฏิเสธประเด็นนี้ไปแล้ว
เมื่อเล่นงานเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้และผู้เสียหายไม่ให้ความร่วมมือ ทนายความกับสื่อก็สร้างกระแสใหม่ขึ้นโดยไปพาเมียทนายไปออกรายการทีวี อ้างนี้เป็นครั้งแรกที่ออกสื่อ
ทั้งผัวทั้งเมียเปิดเผยกับสื่อว่าคบหากันตั้งแต่เมียยังเป็นนักเรียนอยู่ชั้นมัธยม 5 ส่วนผัวเรียนมหาวิทยาลัยปี 1สังคมลองทบทวนดูว่าเด็กนักเรียน ม.5 เมื่อ 25 ปีก่อนอายุเท่าไหร่
ในการให้สัมภาษณ์ทีวีทนายตั้มเปิดเผยว่า “ก็มีใครไม่รู้ส่งข้อความมาทางอินสตาแกรม แล้วเขา(เมีย) ถือโทรศัพท์เราอยู่พอดี”
ฝ่ายเมีย บอกว่า “เราก็โพสต์เฟซบุ๊คเลยว่าไม่ให้ใช้โทรศัพท์แล้ว เขาก็เห็นว่าเราโกรธ เขาก็วิ่งหนี เราก็วิ่งตามเลยแล้วก็นั่งทับเลย ทับเพื่อให้หยุด แล้วเค้นเอาความจริง”
พิธีกรถามว่า “แบบนี้เรียกว่าต้องคุมความประพฤติไหม?”
นางเมียตอบว่า “เราจะอยู่ในโหมดดูแลลูก เขาก็จะเป็นคนทำงาน พอเราเห็นอะไรแบบนี้ เราก็จะขึ้นเลย ด้วยความที่มันมีช่องว่าง แต่เดี๋ยวนี้ไปไหนด้วยกัน....”
จากการออกทีวีผัวเมียคู่นี้ เปิดเผยชีวิตครอบครัวอย่างตรงไปตรงมา แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า เมื่อทนายฝ่ายผัวเปิดประเด็นคุกคามทางเพศกับหญิง 18 ปี ที่ยอมความกันไม่ได้ แล้วตอนทนายพบรักกับเด็กมัธยม 5 ตอนนั้นคนรักอายุเท่าไหร่ที่สำคัญพิธีกร ไม่ได้ถามถึงคดีผู้ต้องหาลวนลามหญิง 18 ปีว่าความคืบหน้าของคดีไปถึงไหนแล้ว
ด้านนักกิจกรรมสตรี นักเคลื่อนไหวทางการเมืองนักร้องเรียนและเซียนสามก๊กผู้ตกอับทางการเมือง ตลอดถึงนักการเมืองร่วมพรรค แต่อยู่คนละฝ่ายกับหัวหน้าพรรค ไม่มีใครพูดถึงผู้ต้องหา ทุกคนทุกฝ่าย เน้นมาโยนความผิดให้หัวหน้าพรรคว่า เป็นผู้รับผู้ต้องหาเข้ามาทำหน้าที่สำคัญของพรรค เมื่อผู้ต้องหาสร้างความเสียหาย (ทั้งๆ ที่คดียังไม่คืบหน้าศาลยังไม่พิจารณาว่าผิดจริงหรือไม่) ตามคำพูดของทนาย
อ้างว่า เพื่อรักษาความเป็นสถาบันและมาตรฐานอุดมการณ์พรรคไว้ ทุกคนทุกฝ่ายเรียกร้องกดดันให้หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคลาออก
จึงมีคำถามว่าถ้าหัวหน้าลาออกแล้วความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้วมันหมดไปทันทีไหม?
ตรงกันข้ามหาก หัวหน้าพรรคลาออกเท่ากับหัวหน้าพรรคเป็นคนไม่รับผิดชอบเป็นคนหนีปัญหา คอลัมน์นี้ถึงได้ยืนยันมาแต่ต้นว่าคดีดังที่สื่อทั้งหมดทุ่มเทให้ความสนใจเป้าหมายของผู้หวังทำลายไม่ได้อยู่ที่ผู้ต้องหา แต่เป้าหมายทำลายที่ใหญ่กว่า นั้นคือ บิดาของผู้ต้องหาและพรรคประชาธิปัตย์
คนที่มีสติปัญญา จะพบว่าทนายความของผู้เสียหายรายนี้เน้นไปที่บิดาผู้ต้องหาว่า “น้องอายุ 18 ปี รู้ว่าผู้ต้องหาเป็นลูกใคร พ่อผู้ต้องหามีตำแหน่งใหญ่ มีอิทธิพลทั้งในประเทศไทยและในสหประชาชาติจึงไม่กล้าแจ้งความในตอนแรก”
ผู้เขียนเข้าใจเอาเองว่าทนายความนั่นแหละเป็นผู้ยุยงให้ผู้เสียหายไปแจ้งความ และเมื่อเห็นว่าเรื่องราวบานปลาย กลายเป็นเรื่องทำลายกันทางการเมือง ครอบครัวผู้เสียหาย จึงไม่ให้ความร่วมมือกับทนาย อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนมั่นใจว่าผู้เสียหายยังให้ความร่วมมือกับกระบวนการยุติธรรม
ทนายความผู้เปิดประเด็นจึงได้กล่าวหาว่า มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่แทรกแซงการดำเนินคดี
ส่วนนักการเมืองร่วมพรรคที่ประชดประชันด้วยการลาออกจากพรรคก็ไม่มีความชอบธรรมใดๆ ในการทับถมพรรค ในเมื่อหัวหน้าพรรคได้แสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่งที่รับผิดชอบด้านสิทธิสตรีทั้งหมดแล้ว และหัวหน้าพรรคประกาศในที่สาธารณะ เป็นสัญญาประชาคม ว่าให้ความร่วมมือกับกระบวนการยุติธรรมอย่างเต็มที่ พรรคไม่มีวันปกป้องคนผิด และพร้อมให้ความ
ช่วยเหลือทาง ก.ม. แก่ผู้เสียหายในการดำเนินคดี
แต่ความรับผิดชอบแค่นี้สมาชิกพรรคบางคนที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับหัวหน้าพรรค ตั้งแต่คราวเลือกตั้งหัวหน้าพรรค และเมื่อฝ่ายที่ตัวสนับสนุนพ่ายแพ้ก็แค้นฝังใจ
ผู้แข่งขันชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคที่พ่ายแพ้ต่อนายจุรินทร์ ก็พากันชิงลาออกไปตั้งพรรคใหม่ก่อนหน้า ส่วนผู้สนับสนุนที่ยังทนอยู่ในพรรคต่อไปพอได้โอกาสที่พรรคเพลี่ยงพล้ำ ก็ชิงออกเอาหน้าโดยอ้างว่าทนอยู่กับพรรคที่เสื่อมเสียไม่ได้
แค่ข้อครหาที่เกิดขึ้นกับผู้ต้องหา ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมพรรคเดียวกัน ทำเป็นคนหน้าบางทนไม่ได้ทั้งๆ กระบวนการยุติธรรมยังไม่ได้พิสูจน์ว่าผิดจริงหรือไม่ หากเจอปัญหาเรื่องความเดือดร้อนประชาชนที่หนักกว่านี้แล้วจะสู้กับปัญหาได้ไหม
หนูเข้าไปอยู่ในบ้านตัวเดียวต้องเผาบ้านเลยหรือ นักการเมืองที่มั่นคงมีอุดมการณ์เมื่อเจอปัญหา ต้องกล้าเผชิญหน้าร่วมกันแก้ปัญหา เพราะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นปัญหาของสมาชิกพรรคเพียงคนเดียว ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นกับพรรคนโยบาย หรืออุดมการณ์ของพรรคโดยรวม
คนอยู่บ้านเดียวกัน เมื่อปลวกกินบ้าน ก็ต้องช่วยกันขจัด หรือบ้านสกปรก ก็ต้องช่วยกันปัดกวาดทำความสะอาดบ้านให้อยู่กันอย่างมีความสุขได้ต่อไป “ไม่ใช่เห็นจิ้งจกขี้ใส่บ้านนิดเดียว ทนไม่ได้ไล่หัวหน้าครอบครัวให้ออกไปเพราะควบคุมจิ้งจกขี้ไม่ได้”
พรรคการเมืองอื่นที่หัวหน้าพรรคคอร์รัปชั่นเป็นแสนๆ ล้านจนศาลตัดสินจำคุกหลายคดีต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศกลับแผ่นดินเกิดไม่ได้ ถ้าหัวหน้าพรรค ปชป.เป็นเหมือนหัวหน้าพรรคนั้นสมาชิกพรรคมีความชอบธรรมที่จะออกมาขับไล่หัวหน้าพรรค แต่หากหัวหน้าไม่มีพฤติกรรมคอร์รัปชั่น ไม่คบหากับคนปล้นชาติพยาบาทสถาบัน ในกรณีอย่างนั้นผู้เขียนสนับสนุนให้หัวหน้าพรรคอยู่แก้ปัญหาต่อ ไม่ใช่ลาออกหนีปัญหา เหมือนหุงข้าวประชดหมา ปิ้งปลาประชดแมว
ผู้เขียนหวังว่าสมาชิกพรรคการเมืองที่มีวุฒิภาวะคงถอดบทเรียนจากกลุ่ม 10 มกราคม ปี 2531 ที่แพ้การเลือกตั้งชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ปชป. แล้วแห่กันลาออกไปตั้งพรรคใหม่ เป็นเหตุให้ป๋าต้องยุบสภาและป๋าประกาศวางมือทางการเมืองด้วยวลีอมตะว่า “ผมพอแล้ว”
แต่ 34 ปี ให้หลังนักการเมืองกลับทำตัวเหมือนกลุ่มสิบมกราคม 2531 ที่แพ้การเลือกตั้งหัวหน้าพรรค แล้วตั้งกลุ่มแยกตัวออกไปตั้งพรรคใหม่ ส่วนผู้สนับสนุนบางส่วนก็แยกย้ายกันไปอยู่กับอำนาจใหม่ที่ได้ตำแหน่งเป็นรางวัลปลอบใจ
ส่วนสมาชิกที่ฉวยโอกาสลาออกในขณะพรรคเพลี่ยงพล้ำ เพราะสมาชิกของพรรคมีข้อครหาเพียงคนเดียว จึงไม่ต่างจาก กลุ่มสิบมกราคม ที่ทำให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีปัญหา ไม่ต่างกับป๋าเมื่อคราปี 2531
ดังนั้น การที่ฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง นักวิจารณ์และสมาชิกพรรคที่พ้นสภาพไปแล้วเรียกร้องให้หัวหน้าพรรค ปชป. ลาออก คงมีเป้าหมายให้รัฐบาลวุ่นวาย เพราะหากนายจุรินทร์ ลาออกจากหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล แล้วจะหน้าด้านนั่งตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพาณิชย์อยู่ต่อไปได้อย่างไร ฝ่ายตรงข้ามผู้ที่มีเป้าหมายทำลายต้องเรียกร้องกดดันให้ถอนตัวออกจากพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อให้ลุงตู่เข้าสู่ทางตันเดินหน้าต่อไปไม่ได้
คอลัมน์ทวนกระแสข่าว จึงขอยืนยันเหมือนที่เคยเขียนมาว่าเรื่องข่าวดัง “เป้าหมายทำลาย ไม่ได้อยู่ที่ผู้ต้องหาแต่เป้าใหญ่กว่า คือ บิดาของผู้ต้องหาและพรรคประชาธิปัตย์”
บิดาผู้ต้องหา เป็นอดีตผู้อำนวยการองค์การการค้าโลก(WTO)และประธานการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา(UNCTAD) เป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับตำแหน่งสำคัญสองวาระติดต่อกันในองค์การสหประชาชาติและบิดาของผู้หาเป็นที่นับหน้าถือตาของนานาชาติ นอกจากนั้น บิดาของผู้ต้องหาเคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลเศรษฐกิจของชาติควบกับเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในรัฐบาลชวน หลีกภัย ที่ช่วยแก้ไขฟื้นฟูวิกฤตเศรษฐกิจของชาติ
บิดาของผู้ต้องหาเป็นหนึ่งในคนไทย ไม่กี่คนที่มีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจมหภาค ที่หลายฝ่ายหมายมั่นปั่นมือให้ฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยและมีศักยภาพพอที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ในภาวะที่ประเทศไทยอยู่ในวิกฤตเศรษฐกิจอย่างร้ายแรง
แต่เมื่อเกิดปัญหากับลูกชายในคดีดัง ความหวังของคนไทยที่จะได้คนดีมีความสามารถและนานาชาติให้ความเชื่อมาช่วยชาติ ก็ลดน้อยลงไปตามความเสียหายในชื่อเสียงและเกียรติภูมิของลูกชาย
ส่วน ปชป. ก็ตกเป็นเป้าทำลายเหมือนบิดาผู้ต้องหา เพราะเหตุว่าเป็นสถาบันการเมืองอยู่ยาวนานเกินไปจนธุรกิจการเมืองทุนสามานย์เห็นว่า เป็นก้างขวางคอชิ้นใหญ่ที่หวังทำลายลงให้ได้
แต่สิ่งที่คู่แข่งทางการเมืองควรจำให้ขึ้นใจว่าผู้ที่หวังทำลายสถาบันทางการเมืองแห่งเดียวของประเทศไทย มีอันเป็นไปหลายรายแล้ว
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี