เป็นเรื่องแสนประหลาดแต่ทว่าเป็นความจริงเพราะนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยนั้น ใครๆ ก็สามารถเข้าไปรับตำแหน่งนี้ได้ ขอย้ำแล้วขีดเส้นใต้หลายๆ เส้นตรงคำที่ว่า ใครๆ ก็สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีเมืองไทยได้ และเป็นได้จริงๆ เสียด้วย
เพราะประเทศไทยเคยมีนายกรัฐมนตรีเพศหญิงที่ไม่เคยอยู่ในแวดวงการเมืองมาเลย แถมลงสนามการเมืองเพื่อชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพียงไม่ถึงสองเดือน แต่สุดท้ายก็ได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปครอบครอง ซึ่งนับเป็นการใช้เวลาหาเสียงที่ถือได้ว่าสั้นที่สุดสั้นเสียจนมีคำพูดเปรียบเทียบว่าใช้เวลาสั้นกว่าการเตรียมตัวเป็นนางงามบนเวทีระดับประเทศเสียอีก
มีคำถามต่อไปว่า คุณสมบัติของการเป็นนายกรัฐมนตรีของไทยคืออะไร คำตอบที่ตรงประเด็นที่สุดคือ ข้อแรกต้องได้รับเสียงสนับสนุนเกินกึ่งหนึ่งจากสส. ส่วนคุณสมบัติข้อต่อมาในยุคนี้คือต้องได้เสียงสนับสนุนจากสว. และอีกประเด็นหนึ่งที่เป็นจริงมาหลายทศวรรษแล้วก็คือ ต้องมาจากการรัฐประหารส่วนผู้ทำรัฐประหารแล้วจะเป็นนายกรัฐมนตรีเองหรือจะเชิญใครไปเป็นนายกรัฐมนตรีก็แล้วแต่จะตกลงกัน
และเมื่อเร็วๆ นี้มีข่าวแสนประหลาดเกิดขึ้น(อีกแล้ว) เพราะมีเสียงเรียกร้องจากคนคนหนึ่ง ชื่ออดุลย์ เขียวบริบูรณ์ (ส่วนอดุลย์เป็นใครนั้น ขออนุญาตไม่ลงรายละเอียดในที่นี้) ออกมาเรียกร้องให้ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยให้เหตุผลส่วนตัวของอดุลย์ว่า เพราะประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันหมดสภาพแล้ว
เหตุผลที่อดุลย์อ้างต่อไปก็คือถึงเวลาต้องเปลี่ยนแปลงการเมืองไทย เพราะผู้นำรัฐบาล (นายกรัฐมนตรี) คนปัจจุบันไร้สภาพการเป็นผู้นำ มิหนำซ้ำยังเกิดวิกฤตรอบด้านรุมเร้าบ้านเมืองหากปล่อยไว้ต่อไปบ้านเมืองจะถอยหลัง และวิกฤตจะรุมเร้าหนักยิ่งขึ้นจนยากจะเยียวยา ดังนั้น จึงต้องเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีจากประยุทธ์เป็นประวิตรเนื่องจากประยุทธ์อยู่ในตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลา 8 ปี แต่แก้ปัญหาให้ประเทศไม่ได้ มิหนำซ้ำยังทำให้ประเทศถอยหลัง
ผู้ที่อดุลย์เสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรีแทนประยุทธ์คือประวิตร โดยให้เหตุผลว่าประวิตรผลักดันให้ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี ประวิตรเป็นผู้มากด้วยบารมี ประวิตรเท่านั้นที่ทำให้ประยุทธ์ยอมก้าวลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แล้วเมื่อประวิตรเป็นนายกรัฐมนตรีแทนประยุทธ์ ประยุทธ์จะไม่ต้องกังวลเรื่องการตามเช็คบิลการเมือง (ขอย้ำว่าอ่านแล้วอย่าหัวเราะ แต่อนุญาตให้อมยิ้มได้)
นอกจากนี้ อดุลย์ยังกล่าวไปถึงพรรคเศรษฐกิจไทย แล้วโยงไปถึงการนำผู้มีความรู้เข้าไปช่วยชาติบ้านเมือง สร้างความสามัคคีปรองดองภายในชาติ แล้วก็๋โยงไปเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย แล้วคืนอำนาจให้ประชาชน โดยพูดเสมือนว่าให้พรรคเศรษฐกิจไทยเป็นตัวจักรกลสำคัญในการนี้ ซึ่งประเด็นนี้สาธารณชนยังไม่เห็นความเชื่อมโยงตามที่อดุลย์กล่าวถึงแม้แต่น้อย แต่ก็เป็นสิทธิ์ที่อดุลย์จะคิดได้ แล้วประเด็นสุดท้ายอดุลย์ก็พูดถึงแพทองธาร ชินวัตร กับการเข้าสู่เวทีการเมืองเพื่อนำทักษิณ ชินวัตร กลับบ้านแบบเท่ๆ
นับเป็นเรื่องน่าคิดที่อดุลย์ต้องการให้ประวิตรเป็นนายกรัฐมนตรี (ส่วนประวิตรคิดอยากเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ เรื่องนี้คอการเมืองรู้ดี) โดยอ้างว่าประวิตรมีบารมีสูง และพูดเสมือนว่าหากประวิตรเป็นนายกรัฐมนตรีจริงๆบ้านเมืองจะรอดพ้นวิกฤตต่างๆ โดยง่ายดาย
ประวิตรจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่เป็นเรื่องที่ต้องจับตามองดูกันต่อไป ส่วนหากประวิตรได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วบ้านเมืองจะผาสุก ทุกข์ภัยจะมลายหายไปหรือไม่ ก็ต้องดูกันต่อไปเช่นกัน แต่คำถามที่น่าคิดคือ เหตุใดอดุลย์จึงสนับสนุนให้ประวิตรเป็นนายกรัฐมนตรีอดุลย์เชื่อจริงๆ หรือว่าประวิตรมีคุณสมบัติเหมาะสมกับการเป็นนายกรัฐมนตรี หรือว่าอดุลย์คิดว่าใครๆ ก็เป็นนายกรัฐมนตรีของเมืองไทยได้เพราะนายกรัฐมนตรีไทยนั้นใครๆ ก็เป็นได้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี