สำนักเศรษฐกิจหลายแห่งในไทยวิเคราะห์ตรงกันว่าเศรษฐกิจไทย ปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตต่ำ และกังวลว่าอาจเกิดปัญหาเศรษฐกิจถดถอยทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 เนื่องมาจากมีปัจจัยลบสารพัดชนิด ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ โดยเห็นว่าผลวิเคราะห์จากธนาคารแห่งประเทศไทย คาดว่า GDP ไทยจะเติบโตที่ ร้อยละ 2.3 ส่วนสำนักวิเคราะห์เศรษฐกิจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดการณ์ว่า GDP ไทยจะเติบโตที่ระดับ ร้อยละ 1.7
ทั้งนี้ สาธารณชนรับทราบดีว่า ไทยมีปัญหาการส่งออกสินค้าไทยลดน้อยลง และไม่สามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้ ประกอบกับภาคการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมของไทยหดตัวลง นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบจากรายได้การท่องเที่ยวจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงและหดหายไปจากประเทศไทยเป็นจำนวนหลายล้านคน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่หายไปจนเหลือจำนวนเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับช่วงที่นักท่องเที่ยวจีนทะลักมาจนท่วมประเทศไทย แล้วที่สำคัญยังมีปัญหาอันเกิดจากภาษีศุลกากรป่วนโลกด้วยน้ำมือของโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ
ทีนี้ลองไปดูตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยบ้าง ก็จะพบว่าตั้งแต่ต้นปี 2568 จนถึงบัดนี้นักลงทุนต่างชาติพากันเทขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของไทยไปแล้วประมาณ 8 หมื่นล้านบาท โดยดัชนีหลักทรัพย์ไทยในช่วงต้นปี 2568 อยู่ที่ระดับ 1,379.85 แต่เมื่อสิ้นเดือนมิถุนายน 2568 ดัชนีหลักทรัพย์ไทยร่วงลงไปอยู่ที่ 1,089.56 แล้วยังเห็นชัดว่าตลาดหลักทรัพย์ไทยมีผลการประกอบการที่ด้อยกว่าตลาดหลักทรัพย์ของประเทศอื่นๆ จนกล่าวได้ว่าผลการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ของไทยต่ำมากจนเกือบจะที่สุดของตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก ขณะเดียวกัน GDP ของไทยก็ต่ำมาก มากเสียจนเกือบจะรั้งท้ายกลุ่มประเทศอาเซียน แต่ก็ยังมีปัจจัยลบที่สำคัญอีกตัวหนึ่งคือเรื่องความไม่แน่นอน ไม่มั่นคง ไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง
หากเราติดตามแนวโน้มการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมทั่วโลก จะพบว่า กระแสการลงทุนของโลกยุคนี้มุ่งไปที่อุตสาหกรรมและธุรกิจด้านไฮเทคโนโลยี (new economy business) แต่การผลิตในภาคอุตสาหกรรมของไทยยังคงอยู่ในแบบเก่า หรือที่เรียกว่า old economy business ซึ่งเน้นการผลิตสินค้าที่ตลาดโลกไม่มีความต้องการมากนัก
การที่นักลงทุนต่างชาติพากันเทขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของไทยสะท้อนให้เห็นชัดว่านักลงทุนต่างชาติมองไม่เห็นเสน่ห์ของตลาดหุ้นไทย แต่หันไปให้ความสนใจกับตลาดหลักทรัพย์
ของต่างประเทศมากกว่า เช่น หุ้นในจีน ไต้หวัน และเกาหลีใต้ โดยเฉพาะตลาดหุ้นเกาหลีใต้ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งมาก หลังจากมีการเลือกตั้งในเกาหลีใต้เมื่อเดือนพฤษภาคม ส่วนตลาดหุ้นไทยไม่มีปัจจัยบวกใดๆ เข้ามาเพื่อช่วยเพิ่มแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ
ขอย้ำว่านักเศรษฐศาสตร์ และนักการเงินการธนาคาร รวมถึงนักธุรกิจต่างวิตกว่าไทยอาจเกิดปัญหาเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค (technical recession) เพราะไทยมีปัญหาส่งออกสินค้าได้น้อย แม้ในช่วงต้นปี 2568 จะพบว่า การส่งออกของไทยอยู่ในอัตราค่อนข้างสูงอย่างน่าประหลาดใจ อาจเป็นเพราะว่าเร่งส่งออกเพื่อหนีอัตราภาษีศุลกากรสุดโหดที่กำหนดโดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อส่งออกในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 มีมากจนประหลาดใจ จึงทำให้คาดว่าการส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 น่าจะแผ่วลง หรือลดน้อยลงไปอย่างมาก เพราะมีคำสั่งซื้อสินค้าไทยน้อยลง หรืออาจไม่มีคำสั่งซื้อเข้ามาอีก
มูลเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจไม่เติบโต แต่กลับทรุดถอยอย่างหนัก มีต้นเหตุมาจากความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล เราเห็นชัดเจนว่ารัฐบาลชุดล่าสุดไม่มีความสามารถบริหารราชการแผ่นดิน ไม่สามารถแก้ปัญหาวิกฤตต่างๆ ที่เกิดกับประเทศชาติได้ แต่ที่น่าสมเพชยิ่งกว่าคือ แม้รัฐบาลจะรู้ตัวดีว่าไร้ประสิทธิภาพ ไร้สมรรถภาพในการบริหารประเทศ แต่ก็ยังด้านทนเป็นรัฐบาลต่อไป ซึ่งเท่ากับเป็นรัฐบาลต่อไปเพื่อทำลายล้างความเจริญก้าวหน้าของประเทศ
เฉลิมชัย ยอดมาลัย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี