l วันนี้ วันจันทร์ที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๕ และวันเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. อาทิตย์ที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๕ นับถอยหลัง เหลือเพียง ๑๙ วัน
อะไร ต่อมิอะไร เริ่มเปิดเผยตัวตนออกมามากขึ้น แต่ละผู้สมัครที่เป็นตัวเก็ง ยังเก็บไม้เด็ดของตนไว้
l มาพิจารณาดู ผลโพลล์บางสำนัก ที่จะออกมาคล้ายๆกัน คือ
ผู้นำมีคะแนนลดลงเรื่อยๆ แต่ผู้ตาม จะมีคะแนนเพิ่มขึ้นและลำดับ คะแนนของคนที่มีโอกาส ประมาณ ๑ แสนขึ้นไป ยังอยู่ใน ๗ คน เดิม
สำนักงานศูนย์วิจัยและให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
สำรวจระหว่างวันที่ 15-22 เม.ย. 2565 จำนวนทั้งสิ้น 20,377 ตัวอย่าง โดยมีผลสำรวจครั้งที่ 4 ดังนี้
1.นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ 27.93
2.นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ 21.95
3.พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง 14.68
4.นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร 10.16
5.น.ต.ศิธา ทิวารี 7.41
6.นายสกลธี ภัททิยกุล 3.50
7.น.ส.รสนา โตสิตระกูล 2.44
8.อื่นๆ 0.22
9.ยังไม่ตัดสินใจ 10.18
10.ไม่ใช้สิทธิ์ (No Vote)/ไม่เลือก (Vote No) 1.52
l เพื่อให้เห็นภาพอีกมุมหนึ่ง คือ ผู้สมัครที่อยู่นอกสายตา ของนักวิเคราะห์ทางการเมืองคือ ไม่มีโอกาสจะได้ แต่เขาและเธอต้องการอะไร? ทั้งนี้ ได้นำรายงานของบีบีซีไทยส่วนหนึ่งมานำเสนอด้วย
l เลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. :
ผู้สมัครส่วนหนึ่ง ๕ คนนี้ หวังอะไรจากการลงสมัครผู้ว่าฯกทม.?
เขาและเธอไม่ใช่ “ตัวเต็ง” ในสนามการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ไม่ติดโผคนที่มีคะแนนนำในการทำโพลล์ของสำนักต่างๆ
แต่ทุกคนล้วนมีเป้าหมาย
--ทั้งที่เปิดเผยและที่เก็บไว้ในใจ
--ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เปิดตัวต่อสาธารณะ เป็นผู้แข่งขันในสนามเลือกตั้งท้องถิ่นที่ถูกจับตามองจากคนทั้งประเทศ
l การลงสมัครรับเลือกตั้งย่อมไม่ใช่เรื่องที่ใครจะทำเอาสนุกและหากพิจารณาจากประวัติการทำงานแล้ว ไม่ว่าผู้สมัคร ๕ คนนี้จะลงสนามด้วยเหตุผลอะไร แต่ดูเหมือนพวกเขาจะ “ไม่ได้มาเล่นๆ”
l นายอุเทน ชาติภิญโญ ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. เบอร์ 17
ชู 7 นโยบายหลักสร้าง กทม.เมืองน่าอยู่-น่าเที่ยว ผ่านหลัก“4 ปรับ 2 แก้ 1 ปราบ”ผุด รร.มาตรฐานอินเตอร์ 50 รร.ใน 50 เขต เพิ่มช่องระบายน้ำแก้น้ำท่วม-น้ำขัง จัดจราจรห้ามเลี้ยวขวาแก้รถติด กำหนดให้ ขรก.กทม.ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน เผยเปิดเฟซบุ๊คใหม่เป็นช่องทางสื่อสาร-รับฟังปัญหาจงดูผลงานในอดีต คนจริงไม่สร้างภาพ คอยฟังที่ตนคิด คอยดูที่ตนทำตามนโยบายทุกด้านที่เตรียมไว้หมด อาทิ นโยบายปราบปรามอิทธิพลมืดใน กทม. ปราบปรามส่วยใน กทม. “ขอพี่น้องประชาชน ช่วยค้นหาประวัติการทำงาน และสังเกตที่ป้ายหาเสียงของแต่ละท่านที่ลงสมัครด้วย อย่าหลงแค่ภาพลักษณ์ลวงตาที่สื่อสร้างขึ้นมาแล้ว จะเสียดาย เสียความรู้สึก สังเกตป้ายหาเสียงดู จะเห็นว่าใครที่จริงใจ
เปิดเผย ที่จะรับฟังรับผิดชอบต่อสังคมและประชาชนจริง ซึ่งต้องมีนโยบายที่จับต้องได้ ทำได้จริงโดยใช้งบประมาณเพียงเล็กน้อย ไม่ฟุ่มเฟือย”
l พ.ท.หญิง ฐิฏา รังสิตพล มานิตกุล ผู้สมัครอิสระ เบอร์ 2 วัย 55 ปี เข้าสู่แวดวงการเมืองหลังจากลาออกจากราชการทหารในตำแหน่งสุดท้ายคือโฆษกกระทรวงกลาโหมมาเข้าพรรคความหวังใหม่ในปี 2540 เธอได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคความหวังใหม่ในการเลือกตั้งปี 2544
ผู้พันปรางจึงย้ายมาเข้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านในขณะนั้น และรับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขาธิการ ปชป. ในปี 2547
ผู้พันปราง นิยามตัวเองว่า
“นักการเมืองผู้ยึดมั่นในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ไม่เคยลงถนน ไม่เคยล้มล้าง ขัดขวางการเลือกตั้งไม่เห็นด้วยเรื่องการใช้ความรุนแรงกับประชาชนในทุกกรณี”
เธอตั้งใจจะเข้ามาสานต่องานด้านการปฏิรูปการศึกษาและโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่นายสุขวิชได้ทำไว้เมื่อครั้งเป็น รมว.ศธ. และผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย และ เธอคิดว่าถึงเวลาแล้วที่กรุงเทพฯ จะมีผู้ว่าฯ เป็นผู้หญิง
เธอยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ลงสนามเลือกตั้งครั้งนี้ นั่นคือการ “สู้กับผู้สมัครคนนอกของพรรคประชาธิปัตย์”เธอระบุว่ากรรมการบริหาร ปชป. ชุดปัจจุบัน “ไม่รักษาสัญญาประชาชน” ด้วยการตัดสินใจร่วมรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
l นายโฆษิต สุวินิจจิต ผู้สมัครอิสระ เบอร์ 24
นักธุรกิจและนักบริหาร เสนอตัวเป็นผู้ว่าฯ กทม. เป็นครั้งที่ 2มาพร้อมนโยบายเดิมที่เคยขายไว้เมื่อ 9 ปีก่อนนั่น คือ การยกระดับการบริการประชาชนของหน่วยงานต่างๆ ในกรุงเทพฯ ให้ครอบคลุมตลอด 24 ชั่วโมง หรือ “กรุงเทพ 24 ชม.”
ความฝันของนายโฆษิตที่สร้างกรุงเทพฯ ให้เป็น “มหานครแห่งสุข 24 ชั่วโมง”
ครอบคลุม 7 ด้าน คือ การทำมาหากิน การเดินทาง ความปลอดภัย สุขภาพ การเรียนรู้ การบริการประชาชน และเมืองคุณธรรมก่อนจะเข้าสู่ธุรกิจสื่อ ขยับขึ้นมาเป็นประธานบริษัท มีเดียออฟมีเดีย มหาชน และประธานกรรมการบริษัท สปริง คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ก่อตั้งสถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์
เชื่อว่าถ้าการเมืองท้องถิ่นแข็งแรง ประเทศก็จะแข็งแรง
พร้อมกับยืนยันว่าเขาเป็นผู้สมัครที่อิสระจากพรรคการเมืองอย่างแท้จริง ไม่ใช่ “อิสระแบบแอบแฝง”
และเห็นว่าผู้ว่าฯ ที่ไม่สังกัดพรรคการเมืองจะทำงานได้ดีกว่าเพราะทำงานกับทุกคนได้
l นายสราวุธ เบญจกุล ผู้สมัครอิสระ เบอร์ 28
อดีตเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม อาจเป็นผู้สมัครที่สร้างความประหลาดใจให้ผู้ติดตามการเลือกตั้งครั้งนี้มากที่สุด
การลาออกจากราชการของนายสราวุธและอีกหลายตำแหน่งในองค์กรภาครัฐและเอกชนถูกมองว่าเป็นการ “ชิงลาออก” ก่อนที่คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) จะลงมติอย่างเป็นทางการในวันที่ 18 เม.ย. ซึ่งที่ประชุม ก.ต. ก็ได้มีมติว่านายสราวุธผิดวินัยร้ายแรงและให้ลงโทษไล่ออกจากราชการ
เหตุที่ตัดสินใจลงสมัครผู้ว่าฯ กทม. เพราะประสบการณ์การทำงานในหลายหน่วยงานทำให้เห็นปัญหามากมายในกรุงเทพฯ จึงต้องการเปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯ ให้ดีขึ้นกว่านี้ และบอกว่านโยบายของเขาไม่ได้แตกต่างไปจากผู้สมัครคนอื่นๆ มากนัก
กล่าวคือจะเน้นปัญหาหลัก เช่น
การจราจร การระบายน้ำ ปัญหาสิ่งแวดล้อม มลพิษทางอากาศและทางเสียง การลดอาชญากรรม สร้างเมืองให้เป็นเมืองที่น่าอยู่และปลอดภัย การเพิ่มพื้นที่สีเขียว ทำให้กรุงเทพฯ เป็นจุดหมายที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกให้ความสนใจต้องการจะมาเยือน ทำให้เศรษฐกิจของ กทม. และประเทศไทยดีขึ้น
l นายพงศา ชูแนม ผู้สมัครในนามพรรคกรีน เบอร์ 30
เป็นชื่อที่คุ้นเคยของคนในภาคประชาสังคมและการเมืองภาคประชาชนนักเคลื่อนไหววัย 58 ปี เป็นที่รู้จักจากการทำงานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ตั้งแต่รับราชการในกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ก่อนจะลาออกจากราชการเมื่อปี 2557 ในตำแหน่งสุดท้ายคือหัวหน้าหน่วยอนุรักษ์และจัดการต้นน้ำพะโต๊ะ จ.ชุมพร
นายพงศาเป็นผู้ผลักดันแนวคิด “ธนาคารต้นไม้”
รวมทั้งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิธนาคารต้นไม้ ที่สนับสนุนให้ประชาชนปลูกต้นไม้และนำมามาแปลงเป็นสินทรัพย์ ซึ่งเขามองว่าจะช่วยทั้งเรื่องฟื้นฟูระบบนิเวศและแก้ปัญหาปากท้องของชาวบ้าน
ราว 1 ปี ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือน มี.ค. 2562
นายพงศากับผู้ร่วมอุดมการณ์กลุ่มหนึ่งได้ร่วมกันก่อตั้ง “พรรคกรีน”
ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่เน้นนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม โดยเขารับตำแหน่งหัวหน้าพรรค พรรคกรีนส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งครั้งนั้นกว่า 100 คน แม้จะไม่ได้รับเลือกตั้งเลยสักคนเดียว แต่พรรคกรีนก็ยังทำกิจกรรมมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีมติว่าหากมีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เมื่อไหร่ พรรคจะส่งผู้สมัครลงสนามด้วย
“เราก็เหมือนพรรคกรีนในต่างประเทศ ที่อาจจะไม่ได้หวังชนะการเลือกตั้ง
แต่ส่งผู้สมัครลงเพื่อให้นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของเรามีที่ยืน”
ชูนโยบาย
“เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กรุงเทพฯ” เป็นนโยบายหลัก
“กรุงเทพฯ มีพื้นที่สีเขียวน้อยมากเมื่อเทียบกับมหานครอื่นๆ ของโลก คือประมาณ 3 ตารางเมตร/คน เรามีเป้าหมายจะเพิ่มเป็น 30 ตารางเมตร/คน ซึ่งเรามีวิธีการที่ทำได้จริงโดยไม่ต้องใช้งบประมาณมากมาย” นายพงศายอมรับว่าเขาไม่ได้หวังชัยชนะ และไม่ได้ตั้งเป้าเลยว่าจะต้องได้คะแนนเท่าไหร่ เพราะ
“ความคิดของเราเสร็จในมือใครก็ได้
หน้าที่ของพรรคกรีนทั่วโลกคือผลิตนโยบายที่ดีๆ
ถ้าเราได้คะแนนสักจำนวนหนึ่ง ก็จะทำให้ผู้ว่าฯ ที่ได้รับเลือกต้องหันมาสนใจว่ามันน่าจะดี แล้วเอาไปทำ”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี