ที่ผ่านมา สังคมไทยต่อสู้กับอำนาจเผด็จการมาหลายครั้งและสามารถเอาชนะได้ แม้ว่าการต่อสู้นั้นฝ่ายประชาชนจะไม่มีศาสตราวุธใดๆ ก็ตาม แต่เป็นเพราะประชาชนมีความสามัคคี มี 3 สถาบันหลัก ทั้ง สถาบัน “1.ชาติ 2.ศาสนา 3.พระมหากษัตริย์” เป็นศูนย์รวมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ จึงบังเกิดความสามัคคี เป็นพลังอันแหลมคม เป็นศาสตราวุธที่อานุภาพร้ายแรง มีความเข้มแข็งและได้รับการสนับสนุนจากหลายฝ่ายทำให้ประสบชัยชนะ
อย่างเหตุการณ์ “วันมหาวิปโยค” เมื่อเดือนตุลาคม 16,เหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ”เดือนพฤษภาคม 35
ทำให้เผด็จการทรราช ทุนสามานย์ เกิดความกลัวและความหวาดวิตก ทำให้เกิดการวางแผนแบ่งแยกฝ่ายประชาชนออกจากกัน และสบช่องอาศัยความแตกแยกของสีเหลือง สีแดง สร้างสงครามสีขึ้นมาในสังคมไทย เกิดการบาดเจ็บล้มตายมากมาย
ปลุกระดมให้ชื่นชมนักการเมืองทุนสามานย์ และต่อต้านฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นเผด็จการทหาร สืบทอดอำนาจ สร้างความล่าช้าเสื่อมถอยในการพัฒนาประเทศชาติบ้านเมือง
การแบ่งแยกแล้วปกครอง หรือ Divide and Ruleเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ตลอด 20 ปีมานี้ประชาชนแบ่งเป็น 2 ฝ่าย เริ่มจากการมีกลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลืองเรียกร้องการรัฐประหารตั้งแต่ปี 2549 และแสดงบทบาทเข้มข้นที่สุดในปี 2551 โดยการยึดทำเนียบ ยึดสนามบินร่วมกับกระบวนการตุลาการภิวัฒน์ โค่นรัฐบาลจากการเลือกตั้งได้สำเร็จ ทำให้ฝ่ายที่แพ้เลือกตั้งกลับขั้วมาเป็นรัฐบาลได้
หลังพฤษภาคม ปี 2553 ความแตกแยกได้ขยายกว้างและลึก ไม่เพียงแค่เห็นเป็นสีเสื้อ แต่มันซึมเข้าสู่ความคิด ผ่านสายเลือดลงถึงกระดูก ผู้นำอีกฝ่ายปลุกระดมมวลชนให้ต่อต้านรัฐบาล “มาร์คทาสแมว-อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์” อดีตผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรบนเก้าอี้ นายกรัฐมนตรีที่มีกลุ่มการเมืองอย่าง “เนวิน ชิดชอบ”เทคะแนนสนับสนุนในสภาฯ
การปลุกระดมต่อต้านรุนแรงขึ้นถึงขั้นสร้างความอัปยศและฝันร้ายให้กับประเทศไทยด้วยการนำมวลชนบุกโรงแรมรอยัล คลิฟ บีช รีสอร์ท พัทยา ชลบุรี เพื่อล้มการประชุมอาเซียนซัมมิทที่จัดขึ้นโดยสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน ภายใต้หัวข้อ เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของประเทศสมาชิกต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้แนวทางในการดำเนินกิจกรรมความร่วมมือต่างๆ ของเหล่าสมาชิก
อีกไม่นานประเทศไทยก็จะรับหน้าที่เจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐ สมัยพิเศษอีกครั้ง แม้จะไม่มีแนวโน้มปลุกระดมให้เกิดความรุนแรงอย่างในอดีต แต่มวลชนที่มาป่วนบ้านกวนเมืองสร้างความวุ่นวายก่อความไม่สงบ มุ่งการเอาชนะคะคานกันโดยมีประชาชนและประเทศชาติเป็นตัวประกันนั้นคงไม่มีใครการันตีได้
เพราะอย่างที่พระท่านว่า “นตฺถิ อการิยํ ปาปํ มุสาวาทิสฺสชนฺตุโน.” ... คนที่ชอบพูดมุสา คือคนที่พูดโกหกอยู่เป็นประจำ เป็นคนเหลาะแหละหละหลวม ไร้สัจจะ ไม่มีความจริงใจ เป็นคนกลับกลอก เชื่อถือไม่ได้ ถือเป็นคนไม่ดี เป็นการประพฤติชั่วทางวาจา ที่เรียกว่า วจีทุจริต และคนที่โกหกอยู่เสมอนั้น ย่อมมีแนวโน้มที่จะทำความชั่วอย่างอื่นด้วย
นักการเมืองชังชาติ สัมภเวสี โอปปาติกะทั้งหลาย จะทะเลาะต่อสู้เพื่ออำนาจทางการเมืองอย่างไรก็ทำไปจะโกรธจะเกลียดกันแค่ไหน
เป็นพฤติกรรมเป็นสันดานท่าน แต่อย่าโกรธอย่าเกลียดประเทศชาติ อย่าเห็นบ้านเมืองเป็นศัตรูเลย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี