คำสอนของซุนวู ผู้เขียนตำราพิชัยสงครามซุนจื่อ (ซุนจื่อปิงฝ่า- ที่นับว่าเป็นตำรายุทธศาสตร์ทางทหาร ที่มีอิทธิพลมากของประเทศจีน
“รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” ไม่มีปรากฏในตำราพิชัยสงครามแต่อย่างใดที่ถูกต้อง คือ แต่เป็นเพียงการรวมคำพูดทั้ง 2 ประโยค ที่ ซุนวู พูดไว้เท่านั้น คือ
๑ “การชนะร้อยทั้งร้อยมิใช่วิธีการอันประเสริฐแท้ แต่ชนะโดยไม่ต้องรบเลย จึงถือว่าเป็นวิธีอันวิเศษยิ่ง”
๒.“หากรู้เขารู้เรา แม้นรบกันตั้งร้อยครั้งก็ไม่มีอันตรายอันใด”
ถ้าไม่รู้เขาแต่รู้เพียงตัวเรา แพ้ชนะย่อมก้ำกึ่งอยู่
หากไม่รู้ในตัวเขาตัวเราเสียเลย ก็ต้องปราชัยทุกครั้งที่มีการยุทธ์นั้นแล”
ไม่เข้าถ้ำเสือไม่ได้ลูกเสือ
หากไม่เสี่ยงอันตรายเข้าไปในถ้ำที่เสืออาศัยอยู่ ก็ไม่สามารถจะจับลูกเสือได้ เป็นคำเปรียบเทียบว่า หากไม่เสี่ยงต่อเรื่องที่มีอันตรายมาก ก็ไม่สามารถจะบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ได้
คนประเภทนี้ มักเป็นสายวิชาการ ที่อยู่บน “หอคอยงาช้าง” ศึกษา เขียนตำรา วิจารณ์ จาก “ความเก่งความสามารถในเฉพาะด้าน การหาข่าวจากงานวิชาการต่างๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศ ฯลฯ” ไม่เคยลงสู่สนามรบแห่งความเป็นจริง จึงมักไม่เข้าใจความเป็นจริงของชีวิต และ ชีวิตที่เป็นจริง แต่จะหลงตัวเอง ว่า “ข้าเก่ง” ส่วน “เอ็ง” ไม่แน่ การนำเสนอ หรือ วิพากษ์วิจารณ์ ข่าวสารต่างๆ ของสังคมและบ้านเมือง มักจะผิดพลาดและบางคน มีกรอบความเชื่อไปในทางด้านหนึ่งด้านใด ไม่ว่า“ตะวันตก หรือ ตะวันออก” มักจะมองภาพสังคมหรือ การเมือง จาก “กระจกหรือแว่นตา” ที่ตัวเองติดยึด
บทเรียนในการทำงาน ทางการเมือง (รวมทั้งงานอาชีพวิศวกรรมฯ) และการทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยตลอดเวลากว่า ๕๐ ปี สอนให้ “รู้และเข้าใจ” ว่า
๑.ข่าวสารข้อมูลที่ถูกต้อง เป็นหัวใจ ในการวิเคราะห์สถานการณ์
๒.การได้ข้อมูลที่ถูกต้องเป็นจริง ต้องลงสู่สนามรบที่เป็นจริง มิใช่อยู่บนหอคอยงาช้าง หรือ นั่งเทียนเขียนข่าว
๓.ไม่มีทาง ที่เรา หรือฝ่ายใด จะได้ “ข้อมูล”ที่ถูกต้อง ๑๐๐% ของ ฝ่ายเขา ฝ่ายเราได้
ฉะนั้นความคิดใน “การฟันธง” (คือ ๑๐๐%) จึงเป็นเรื่องผิดพลาดสูง และบอกถึง “วุฒิภาวะ” ของผู้กล่าวฯ บางกรณี แม้มีข้อมูลไม่ครบ แต่มีความจำเป็นต้องเคลื่อน เรา อาจจะใช้ “ความรู้ ประสบการณ์” คาดการณ์ แนวโน้ม ที่มีโอกาสเป็นไปได้ ในหลาย Scenario แล้วนำมา วิเคราะห์ ถึง ข้อใด ที่มีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุด ขณะเดียวกัน ก็ต้องหา ข่าวสารข้อมูลเพิ่มเติมขึ้น การปรึกษาหารือ หรือ ขอความคิดเห็นข้อแนะนำของผู้หลัก ผู้ใหญ่ที่เชื่อถือได้ เป็นสิ่งที่ควรทำ
๔.ข้อมูลจริง จะได้มายากมาก (เสมือนงมเข็มในมหาสมุทร) ต้องลงทุนมาก ทั้งอ่าน ฟัง คิด ติดตามอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ และนำมาประเมินผล สรุปแล้วสรุปอีก
๕.ผู้นำส่วนใหญ่ แม้แต่นักวิชาการ สื่อฯ ส่วนใหญ่ ขาดการให้ความสำคัญอย่างจริงจัง กับ การแสวงหาข้อมูล
มักอาศัย “อุดมคติ อคติ ความเชื่อ ผลประโยชน์การอ้างอิงแหล่งข่าวสาร และบุคคลฯ” ทำให้ มีโอกาสผิดพลาด หรือไม่ได้ความจริงสูง
๖. ข้อมูลเท็จ ข้อมูลลวง (การปล่อยข่าว การปฏิบัติการจิตวิทยา การปลุกระดมมวลชนฯ ถูกนำมาใช้สูงยิ่งในยุคปัจจุบัน ที่ข่าวสารเยอะ กลไกเครื่องสื่อการสื่อสาร มีศักยภาพสูง(ลงทุนสูง) แทนที่จะได้นำเอาส่วนดีฯ มาคัดกรอง แยกแยะ กลับเชื่อข่าวสาร (ตามความคิดของตน) สูงกว่า
๗. ในการวิเคราะห์ข่าว (สถานการณ์) ต้องคัดกรองเอาข้อมูลที่เป็นจริงมาใช้ และข้อมูลที่ยังไม่มีแหล่งหรือหลักฐานรองรับ หากจำเป็นต้องนำมาใช้ เราสามารถใช้ได้เพียงในฐานะ “แนวโน้ม หรือ โอกาสที่จะเกิดขึ้น” เท่านั้น ข่าวบอกเล่า ที่อ้างกัน (มักจะอ้างผู้หลักผู้ใหญ่) ต้องถือเป็นเพียงข้อมูลหนึ่ง ที่เราต้องติดตามหาความจริงต่อไปและไม่ควรให้ความสำคัญมาก หรือไม่ควรนำมาใช้ต่อ
๘. สื่อที่ดีมีคุณธรรม ที่จะต่อกรกับ สื่อที่ไร้จรรยาบรรณได้ รวมทั้ง “บุคคล กลุ่มองค์กร ในด้านการสื่อ” ที่มีอุดมคติ ที่ออกมาเสนอข่าวสารอย่างมีคุณภาพและมีจรรยาบรรณฯมีไม่มาก และในการนำเสนอข่าว ก็เสนออย่างตรงไปตรงมาไม่มีเล่ห์กล และไม่กล้าทำสิ่งที่ผิด (ซึ่งต่างจาก สื่ออีกปีกหนึ่งเขากล้าทำ ทั้งถูกและผิดฯ)
ฯลฯ
สภาพการณ์ การเสนอข่าว การวิพากษ์วิจารณ์ ในสื่อ และสังคมออนไลน์ ในยุคปัจจุบันคนที่เป็นผู้เสพข่าว(และรับผล) ต้องพิจารณาเลือกอย่างพินิจพิเคราะห์ เพราะทั้งสื่อ และผู้เกี่ยวข้อง : ผู้ประกอบการ นายทุน คอลัมนิสต์ฯลฯ ใช้สื่อเป็นเครื่องมือและช่องทางในการหารายได้ และเป็นเครื่องมือทางการเมือง ทางธุรกิจฯ ที่มีจรรยาบรรณน้อยหรือต่ำกว่ามาตรฐาน มีส่วนทำให้ “ขาดคุณธรรม และ จรรยาบรรณของสื่อที่ดี ที่ต้องให้ความจริงแก่ประชาชนและความจริงที่น่าเศร้า” คือ “เจ้าของและผู้ประกอบการสื่อ” เป็นนายทุนใหญ่ระดับพันล้านหมื่นล้าน จึงใช้ “สื่อ” เป็นเครื่องมือแสวงหารายได้ ผลประโยชน์ และสร้างอิทธิพลทางการเมืองและธุรกิจ มิใช่ “สื่อที่มีจรรยาบรรณในอดีต” อีกต่อไป ซึ่งปัจจุบันเหลือน้อยลงทุกที
นักการเมืองระดับใหญ่ และกลุ่มทุนสามานย์ ฯลฯ จะใช้สื่อ หรือร่วมมือกับสื่อต่างๆ ในการสร้างอิทธิพล การเลื่อนขั้นตำแหน่ง การโยกย้ายข้าราชการระดับสูง การสร้างความได้เปรียบและใช้ในการเลือกตั้ง (ที่ได้ผลมาก) เพราะ “ประชาชนที่ไม่มีคุณภาพ” จะตกอยู่ในอิทธิพลของสื่อเหล่านี้
คอลัมนิสต์ ที่มีระดับ ที่มีบทบาทและอิทธิพลต่อผู้รับฟัง มีบางส่วนที่มีปัญหาการรับนโยบายจาก เจ้าของสื่อ หรือเป็นเจ้าของสื่อเอง มีกรอบคิดทัศนะของตน ไปในทางใดทางหนึ่ง ตะวันตก หรือ ทางตะวันออก (ทำให้เสนอข่าว ออกมาตามกรอบคิดและความเชื่อของตน เพราะมักให้น้ำหนักของข่าวที่มาจากฝั่งคิดของตน) มีผลประโยชน์ หรือเป็นมือปืนรับจ้าง ขาดประสบการณ์ที่เป็นจริง คือ ขาดการสัมผัส หรือลงพื้นที่จริง (นั่งเทียนเขียนข่าว)
สื่อที่ได้รับทุน หรืออิทธิพลความคิดจากฝั่งใดฝั่งหนึ่ง หรือเป็นสื่อของตะวันตก (ในไทย)
(เช่น บีบีซี ไทย)
เช่น สื่อบางสำนัก มักจะวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล โดยเอาข้อมูลด้านลบมาลง มากกว่าด้านบวกหรือนำข่าวการให้สัมภาษณ์ของฝ่ายค้าน หรือแกนนำประท้วงฯ
อีกประเด็นหนึ่ง ที่สร้างความอึดอัด (หรือบางคนถึงกับไม่พอใจมาก)
คือ เพื่อนมิตรในห้องไลน์ ที่มักโพสต์ข่าวต่อ ตามความคิดความเชื่อ หรืออคติของตน บางกรณี คนหน้าเดิม ที่มีฐานะในสังคม มักนำข่าวออกมาเผยแพร่ข่าวในทางลบของรัฐบาล ที่มักจะ“ใส่ไข่” เกินความเป็นจริง ออกมาประจำ มักจะ “ต่อว่า กล่าวหาเพื่อนส่วนใหญ่” ที่ออกไปร่วมชุมนุม หรือ คัดค้านทัก ปู และที่สร้างความตกใจให้เพื่อนมิตร คือ “การออกมาปกป้อง การโกงกิน คอร์รัปชั่น ใช้อำนาจมิชอบ” และแก้ตัวแทนว่า “เขาและเธอ” เป็นคนดี วิเศษ แต่ถูก “รัฐบาล ศาลฯ” กลั่นแกล้ง
ที่ออกจะยอมรับได้ยาก แม้จะมีความเป็นเพื่อน คือ “การคิดมิดีร้ายต่อสถาบันหลัก” ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น ออกหน้ามาเชียร์ “เด็กแอก หรือผู้ใหญ่เฒ่า” ที่ออกมาจาบจ้วงล่วงละเมิด ซึ่งเรื่องนี้ “เขาต้องรับกรรมที่ก่อขึ้นมาเอง” แต่ก็ทำให้เราเศร้าใจในฐานะความเป็นเพื่อนฯ
ประเด็นสำคัญร้ายแรงและคนทั่วไปมองไม่ออก คือ บริษัท หรือกลุ่มสื่อมืออาชีพ ระดับโลก
ที่ถูกว่าจ้างโดย “นักการเมืองใหญ่ ระดับนายทุนใหญ่ หรือเจ้าของพรรค” ในการวางแผน การจัดการ และรณรงค์อย่างมีกระบวนการ ขั้นตอน ในด้านสื่อที่ทำให้ “คนไม่น้อยหลงเชื่อ” เพราะมีการทำอย่างเป็นระบบ และใช้เครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัยที่ดึงคนดู หรือ คนฟัง ในระดับแสน ระดับล้าน ในอดีต เคยทำให้สภาของประเทศใหญ่บางประเทศ มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อสถาบันไทยฯ
สุดท้ายต้องฝากให้ “พลเมืองดีมีคุณภาพ” ต้องช่วยกันคิดว่า “เราในฐานะประชาชน ควรทำอะไร และรัฐบาลหรือองค์กรวิชาชีพด้านสื่อ ควรจะทำอะไร”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี