ผ่านไป 100 วัน ของสงครามรัสเซีย-ยูเครน กับ 15 เดือนของการยึดอำนาจในเมียนมา หากฝ่ายต่อต้านไม่หลงลมตะวันตกโดยการนำของอเมริกาคิดว่าน่าจะจบไปนานแล้ว
สงครามในยูเครน เพียงสองอาทิตย์ที่รัสเซียบุกยูเครนในนามของปฏิบัติการพิเศษทหารเพื่อจัดการกับกองทัพยูเครน หลังจากกองทัพยูเครนถูกขีปนาวุธแม่นยำสูงของรัสเซียทำลายแทบล่มสลาย นายโวโลดิเมียร์เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน เสียงอ่อนลงพร้อมเจรจาและประกาศว่าไม่สมัครเข้าเป็นสมาชิกนาโตแล้ว
การเจรจารอบแรกเป็นไปด้วยดี คือ ทั้งสองตกลงที่จะหยุดยิงเป็นระยะๆ เพื่อเปิดทางให้ผู้อพยพได้ออกจากพื้นที่สู้รบอย่างปลอดภัย
แต่ในการเจรจารอบสองและรอบต่อๆ มาราวกับว่า สหรัฐอเมริกาให้นายเซเลนสกี กินดีหมีหรือฝังเหล็กไหลเข้าในตัวของอดีตตัวตลกทีวี ทำให้นายเซเลนสกี เสียงแข็งขึ้นมาปฏิเสธข้อเสนอทุกอย่างไม่รับเงื่อนไขใดๆ เพราะอเมริกาให้ความมั่นใจว่าจะทำทุกวิถีทางให้ยูเครนชนะสงคราม
นายเซเลนสกี ซึ่งเข้าใจว่า ไม่ได้อยู่ในสมรภูมิรบ หรือไม่ได้อยู่ในประเทศตั้งแต่เริ่มสงครามและหลบไปอยู่ในเซฟเฮ้าส์ของประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ได้รู้สถานการณ์สมรภูมิรบที่แท้จริง แต่ถูกอเมริกันสมคบกับสื่อตะวันตกหลอกกว่า ยูเครนกำลังชนะและฝ่ายรัสเซียกำลังเพลี่ยงพล้ำ
จนกระทั่งสงครามครบ 100 วัน ประเทศยูเครน พังพินาศวอดวายประชาชนตายเป็นหมื่น นายเซเลนสกี
ยังออกมาแสดงตลกว่ายูเครนได้รับชัยชนะ วีดีโอที่ปล่อยมาทางโซเชียลมีเดีย เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2565 เห็นภาพ นายเซเลนสกี ขนาบซ้ายขนาบขวาด้วย นายกรัฐมนตรี รองประธานาธิบดี ผู้บัญชาการทหารบก และทหารอากาศ ฉากเบื้องหลังเป็นอาคารสวยงาม ไม่มีร่องรอยของสงครามทำลายให้เห็นแต่อย่างใด แต่คนที่ขนาบข้างซ้ายข้างขวาทั้งห้านาย หน้าบอกบุญไม่รับ
ในขณะที่นายเซเลนสกี พูดว่า “ประธานาธิบดีอยู่ตรงนี้ รองปธน.อยู่ตรงนี้ นายกฯอยู่ตรงนี้ผู้บัญชาการกองทัพอยู่ตรงนี้และประชาชนอยู่ตรงนี้ยูเครนกำลังมีชัยในสงคราม..” นายเซเลนสกี พูดอย่างภูมิใจด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม ขณะที่ สื่อทุกสำนักและองค์การสหประชาชาติ แถลงว่าครบรอบร้อยวันสงครามรัสเซีย ยูเครน ประเทศยูเครนถูกทำลายพังพินาศ
องค์กรกาชาดสากลประมาณการว่าสงคราม 100 วัน ที่ผ่านมา ชาวยูเครนเสียชีวิตไปแล้วไม่น้อยกว่า 15,000 คน ผู้อพยพหนีตายไปต่างประเทศกว่า 6 ล้านคน พลัดถิ่นในประเทศ 1.5 ล้าน โครงสร้างพื้นฐานเสียหายกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
นายโรเบิร์ต มาร์ดินี ผู้อำนวยการองค์กรกาชาดสากล กล่าวว่า โครงสร้างพื้นฐานถูกทำลายในวงกว้างโรงเรียน โรงพยาบาล โรงงานไฟฟ้า น้ำประปาถูกทำลายทำให้ประชาชนเดือดร้อนแสนสาหัส
ส่วนความเสียหาย ฝ่ายรัสเซียไม่อาจประเมินได้ เมื่อเดือนมีนาคม กระทรวงกลาโหมรัสเซียแถลงว่าทหารรัสเซียเสียชีวิต 1,351 นาย และไม่ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องนี้อีกเลย แต่ยูเครนและสื่อตะวันตกคุยโวว่าทหารรัสเซียเสียชีวิตกว่า 30,000 นาย และรัสเซียยึดพื้นที่ได้เพียง 1 ใน 5 ของประเทศยูเครน
ฝ่ายรัสเซีย แถลงเป็นทางการว่าได้ยึดทางภาคใต้ของยูเครนโดยเฉพาะเมืองท่ามาริอูโปลซึ่งเคยเป็นฐานที่มั่นสำคัญของทหารต่างชาติกองกำลังอาซาฟ หรือ นาซีใหม่ ไว้ในควบคุมเรียบร้อยแล้ว กองกำลังอาซาฟหนีกระจัดกระจาย แต่กองกำลังชุดสุดท้าย ทหารนาซีใหม่ที่หลบซ่อนอยู่ในโรงงานถลุงเหล็กขนาดใหญ่นานกว่าสองเดือน มอบตัวทั้งหมดเกือบ 2,000 นาย
ขณะนี้การสู้รบรุนแรงกำลังเกิดขึ้นในแคว้นดอนบาสและทหารรัสเซียยึดเขตลุฮันสก์ ซึ่งประกาศตัวเป็นรัฐอิสระจากยูเครนได้ 90% แล้ว ยังมีรายละเอียดอีกมากมาย แต่เมื่อมองไปข้างหน้า พบว่ายูเครนมีแต่ความพินาศวอดวายยากที่จะฟื้นฟูขึ้นมาได้ในเวลาอีกหลายปี เลยเหลือพื้นที่และเวลาไว้ให้กับวิกฤตการเมืองในเมียนมา
วิกฤตการเมืองในเมียนมา หลังจาก พลเอก มิน อ่อง หล่าย ยึดอำนาจจากรัฐบาลพรรคเอ็นแอลดีของนางออง ซาน ซู จี เมื่อวันที่ 1 ก.พ. 2564 ในข้อหาโกงเลือกตั้งครั้งมโหฬาร ที่ถูกกล่าวหาว่าบัตรเลือกตั้งผิดปกติถึง 11 ล้านใบ ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง ไม่สามารถตรวจสอบได้เพราะนางออง ซาน ซู จี ไม่ยอมให้ตรวจสอบ
สองวันแรกของการยึดอำนาจ ฝ่ายต่อต้านการยึดอำนาจทำการประท้วงแบบอารยะขัดขืน เพียงแต่ตำรวจกั้นเชือกฟางไว้กลางถนนแล้วเขียนป้ายว่า“ห้ามผ่าน”ผู้ประท้วงก็หยุดอยู่แค่นั้น ไม่ขัดขืนใดๆ แต่การประท้วงวันต่อๆ มา เมื่อสถานทูตสหรัฐฯกับสถานทูตฝรั่งเศสในเมียนมา
ออกมาต้อนรับผู้ประท้วงแล้ว ปลุกระดมว่าสหรัฐฯกับประเทศตะวันตกสนับสนุนการต่อต้านรัฐประหารเต็มที่
วันต่อมาผู้ประท้วงเดินขบวนไปหน้าสถานทูตจีน โจมตีกล่าวหาว่า จีนสนับสนุนพลเอกมิน อ่อง หล่าย ให้ยึดอำนาจ การประท้วงเปลี่ยนจากอารยะขัดขืนเป็นความรุนแรง ผู้ประท้วงเผาทำลายโรงงาน ทรัพย์สินและบริษัทของจีน ในเมืองย่างกุ้ง เกิดความชุลมุนวุ่นวาย
จนคณะผู้บริหารแห่งรัฐ (State Administration Counci =SAC) ประกาศภาวะฉุกเฉินและความรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกวันจนมีการปราบปรามมีการปะทะกันเกิดขึ้น ในขณะเดียวกับสื่อตะวันตก สมคบกับอเมริกาโจมตีกล่าวหาว่า ทหารฆ่าประชาชนผู้ประท้วงอย่างสันติ
ฝ่ายต่อต้าน เปลี่ยนจากการต่อสู้ในเมืองบางส่วนหนีเข้าป่า แล้วจัดตั้ง “รัฐบาลเงา” ขึ้นมาเรียกว่า “รัฐบาลสามัคคีแห่งชาติหรือ (National Unity Government=NUG) พร้อมกับตั้งกองกำลังพิทักษ์ประชาชน (People Defense Force =PDF)ขึ้นมา ทั้งรัฐบาลเงาและกองกำลังพิทักษ์ประชาชนได้รับการสนับสนุนทางยุทธวิธี ปัจจัยและอาวุธจากกลุ่มประเทศตะวันตกโดยเฉพาะอเมริกา
รัฐบาลเงา หรือ NUG ส่วนใหญ่ เป็นอดีตนักการเมืองพรรคเอ็นแอลดีของนางออง ซาน ซู จี พยายามเดินเกมต่อสู้ทางการทูตและการเมืองระหว่างประเทศขัดขวางรัฐบาลทหารทุกวิถีทางโดยมีอเมริกาหนุนหลังทุกความเคลื่อนไหว
ในขณะที่ พีดีเอฟก็ต่อสู้กับรัฐบาลทหารแบบกองโจร โดยซุ่มโจมตีฐานลอยของตำรวจ/ทหารลอบสังหาร ลอบทำร้ายคนที่สงสัยว่า เป็นสายให้ทหาร หรือ ผู้สนับสนุนรัฐบาลทหาร ลอบวางระเบิดรายวันทั้งในย่างกุ้งและเมืองใหญ่ในมัณฑะเลย์และเขตสะไกง์การลอบสังหาร ลอบวางระเบิดรายวัน เป็นการล่อเป้าให้ทหารปราบปราม ในเวลาต่อมาสื่อตะวันตกและอดีตทหารอเมริกัน เชื่อกันว่าเป็นซีไอเอ สมคบกันปั่นกระแสยกหูชูหาง พีดีเอฟ ว่า เข้มแข็งขึ้นทุกวัน จนรัฐบาลทหารบริหารประเทศต่อไปไม่ได้
ในที่สุดรัฐบาลทหาร ก็ขึ้นบัญชีดำให้ รัฐบาลเงาและกองกำลังพิทักษ์ประชาชนเป็น “ผู้ก่อการร้าย”
ดังนั้นเมื่อรัฐบาลทหารจัดประชุมกับผู้แทนกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ สิบกลุ่มในสหภาพเมียนมา ปรึกษาหารือทางการเมืองกันในกรุงเนปิดอว์ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค.เป็นต้นมา เพื่อเจรจาเรื่องการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบหลายพรรค หรือ จะเปลี่ยนเป็นการปกครองแบบสหพันธรัฐประชาธิปไตย เอ็นยูจี และพีดีเอฟ จึงไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุมด้วย
ซอ มิน ตู โฆษกรัฐบาลทหารเมียนมากล่าว“กลุ่มชาติพันธุ์ทั้งสิบกลุ่มที่เคยลงนามยุติยิงทั่วประเทศได้เข้าร่วมเจรจา ยกเว้นเอ็นยูจี กับ พีดีเอฟ เป็นกลุ่มก่อการร้ายเข้าร่วมประชุมไม่ได้ ส่วนผู้แทนจากพรรคเอ็นแอลดี SAC ให้เข้าร่วมเจรจาได้” แต่ไม่มีตัวแทนพรรคเอ็นแอลดี เข้าร่วมประชุม เพราะส่วนใหญ่หลบหนีคดีและเข้าร่วมกับพีดีเอฟ
และหลังจากรัฐบาลทหารกับกลุ่มชาติพันธุ์ได้ออกแถลงการณ์รวมถึงความคืบหน้าในการเจรจาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกลุ่มประเทศอาเซียนซึ่งมีกัมพูชา เป็นประธานหมุนเวียนได้ประชุมกันในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ที่ประชุมของเจ้าหน้าที่ระดับสูงอาเซียนได้ข้อสรุปถึงจุดต่างๆ ในการแจกจ่ายสิ่งของให้ชาวเมียนมา ตามฉันทามติห้าข้อของอาเซียนเมื่อเดือนเมษายน 2564
ซึ่งถือเป็นความคืบหน้าของอาเซียนที่ได้ข้อสรุปเรื่องจุดแจกจ่ายการช่วยด้านมนุษยธรรมตลอดเส้นทางในการขนส่งสิ่งของไปยังหมู่บ้านต่างๆ
แต่ข้อสรุปของอาเซียนกลับเป็นที่ไม่พอใจของเอ็นยูจีและพีดีเอฟ “เจ้าหน้าที่ระดับสูงอาเซียนได้ข้อสรุปเรื่องสถานที่ต่างๆเพื่อแจกจ่ายสิ่งของจากการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม โดยมิได้ปรึกษาหารือกับเอ็นยูจีและพีดีเอฟ เลย” พีดีเอฟ ออกแถลงการณ์มาจากที่ตั้งโดยไม่เปิดเผยว่าแถลงการณ์ออกมาจากที่ไหน
“พีดีเอฟเชื่อว่าสิ่งของที่แจกจ่ายจะตกไปอยู่ในมือของฝ่ายรัฐบาลทหาร และผู้สนับสนุนรัฐบาลทหารเท่านั้น..”พีดีเอฟ เขียนในแถลงการณ์และเสริมว่า“อาเซียนควรแจกจ่ายสิ่งของเพื่อช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมผ่านทางยูนิเซฟ และ เอ็นจีโอ”
ดังที่รู้กันทั่วไปว่าตะวันตกและสหรัฐอเมริกาให้การช่วยเหลือรัฐบาลเงาเมียนมาและกองกำลังพิทักษ์ประชาชนผ่านทางยูนิเซฟและเอ็นจีโอ
ถึงได้บอกไว้แต่ต้นว่าสงครามรัสเซีย-ยูเครน และวิกฤตการเมืองในเมียนมา ถ้าฝ่ายต่อต้านไม่เชื่ออเมริกา ยอมพบปะพูดจา สงครามรัสเซีย-ยูเครนและวิกฤตการเมืองในเมียนมา น่าจะจบไปนานแล้ว
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี