ข้อมูล “World Population Dashboard” โดย กองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (UNFPA) สืบค้น ณ วันที่ 29 มิ.ย. 2565 ระบุว่า ทั่วโลกมีประชากรทั้งหมด 7,954 ล้านคนในจำนวนนี้ร้อยละ 10 หรือ 795.4 ล้านคน เป็นผู้มีอายุ65 ปีขึ้นไป แต่เมื่อเจาะจงดูที่ประเทศไทย ข้อมูลชุดนี้ระบุว่า“ประเทศไทยมีประชากรทั้งหมด 70.1 ล้านคน ในจำนวนนี้ร้อยละ 14 หรือราว 9.8 ล้านคน เป็นผู้มีอายุ 65 ปีขึ้นไป”ซึ่งเท่ากับว่า ในปี 2565 ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ภาวะ “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” กันแล้ว
ทั้งนี้ องค์การสหประชาชาติ (UN) แบ่งสังคมสูงวัยออกเป็น 3 ระดับ คือ 1.สังคมสูงวัย มีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปี ขึ้นไป มากกว่าร้อยละ 10 หรือประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป มากกว่าร้อยละ 7 ของประชากรทั้งหมด 2.สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ มีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปี ขึ้นไป มากกว่าร้อยละ 20 หรือประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป มากกว่าร้อยละ 14 ของประชากรทั้งหมด และ 3.สังคมสูงวัยระดับสุดยอด มีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่าร้อยละ 28 หรือประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป มากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด
ในเดือนมิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา มีการจัดเวทีเสวนาที่พูดถึงการเตรียมพร้อมรับสังคมสูงวัย เช่น การเสวนาหัวข้อ “หนทางสู่รัฐสวัสดิการ ความเป็นไปได้ของสังคม”จัดโดยเครือข่าย We Fair ซึ่งหนึ่งในวิทยากร รศ.ดร.อนุสรณ์ธรรมใจ กรรมการวิทยาลัยนานาชาติ ปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ อดีตกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง ชวนคิดในมุมเศรษฐศาสตร์ ว่าประเทศไทยจะหารายได้และบริหารจัดการงบประมาณ เพื่อรักษาระบบสวัสดิการสังคมที่มีอยู่ ตลอดจนยกระดับให้ดีขึ้นได้อย่างไร
โดยเงินงบประมาณเพื่อมาจัดสวัสดิการนั้นสามารถนำมาจากการเก็บภาษีทรัพย์สินเพิ่มเติม การตัดลดงบประมาณบางอย่างที่ไม่จำเป็นลง ทั้งนี้ โครงสร้างระบบการจัดเก็บภาษี (Taxation) ของประเทศที่ใช้ระบบรัฐสวัสดิการ จะเป็นการจัดเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้า มีสัดส่วนรายรับรวมทางภาษีต่อผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP)ในประเทศ เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 35-48 ในขณะที่โครงสร้างระบบภาษีของไทยขึ้นอยู่กับภาษีทางอ้อมและภาษีเงินได้เป็นหลัก โดยมีสัดส่วนรายได้จากภาษีเทียบกับ GDP คิดเป็นร้อยละ 14.6 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลกซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 14.9
“รัฐบาลต้องตั้งเป้าขยายฐานภาษีใหม่เพื่อนำมาพัฒนาประเทศและสร้างระบบรัฐสวัสดิการให้เกิดขึ้นภายในปี 2576 โดยควรตั้งเป้าเก็บภาษีทรัพย์สิน (ภาษีที่ดินและ
สิ่งปลูกสร้าง) ภาษีมรดก ภาษีลาภลอย ภาษีกำไรจากตลาดการเงินให้ได้ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาท หากไม่สามารถดำเนินการได้ตามที่กล่าวมา เชื่อว่า ประเทศไทยจะประสบปัญหาฐานะทางการคลังอย่างรุนแรงจนเกิดภาวะแรงกดดันทางนโยบายที่ต้องปรับลดสวัสดิการบางอย่างลง” รศ.ดร.อนุสรณ์ ระบุ
รศ.ดร.อนุสรณ์ ยังย้ำด้วยว่า งบประมาณปี 2564 ที่ผ่านมา ต้องใช้งบดูแลผู้สูงอายุ 7.5 แสนล้านบาท หรือร้อยละ 4.4 ของ GDP เพิ่มขึ้นเท่าตัวเทียบกับปี 2556 และคาดว่าในปี 2576 เข้าสู่สังคมสูงอายุระดับเต็มที่ (สังคมสูงวัยระดับสุดยอด) ซึ่งจะใช้งบทะลุ 1 ล้านล้านบาท ทำให้รัฐบาลอาจเจอวิกฤตฐานะการคลังได้ แต่ก็ไม่ควรใช้วิธีตัดลดสวัสดิการลง แต่ควรลดภาระการคลังด้วยการสร้างระบบออมเพื่อชราภาพให้เข้มแข็ง ปฏิรูประบบแรงงานให้มีระบบค่าตอบแทนที่เป็นธรรม และเพิ่มประสิทธิภาพจัดเก็บรายได้
ขณะที่เวทีเสวนาหัวข้อ “ความคาดหวัง การเตรียมความพร้อม และการเข้าถึงบริการทางสังคม เพื่อการสูงวัยอย่างมีพลัง” จัดโดยสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)ร่วมกับ มูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาผู้สูงอายุ (มส.ผส.) มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) และสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่ง รศ.ดร.จงจิตต์ ฤทธิรงค์นักวิชาการสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล นำเสนองานวิจัยเรื่อง “ความคาดหวังการวางแผน และการเตรียมตัวของประชากรวัยทำงานต่างรุ่นอายุ และรูปแบบการอยู่อาศัยต่อชีวิตในวัยสูงอายุ”
ซึ่งหนึ่งในประเด็นที่ศึกษาคือ “การเตรียมตัวด้านการเงินก่อนถึงวัยเกษียณ” โดยพบว่า “ในด้านการเงินพบความคาดหวังที่สวนทางกับความจริง” กล่าวคือ ในขณะที่ประชาชนคิดว่าเงินออมที่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตหลังเกษียณอยู่ที่ 1-2 ล้านบาท แต่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) คำนวณไว้ที่ 7.48 ล้านบาทนอกจากนี้ ส่วนใหญ่ออมเงินด้วยการฝากธนาคาร ร้อยละ73.2 รองลงมา เก็บเป็นเงินสด ร้อยละ 35.4 และประกันชีวิตแบบออมหรือบำนาญ ร้อยละ 21.2 โดยสรุปคือเป็นการออมเพื่อเก็บ มากกว่าออมเพื่อลงทุนสร้างรายได้
“จากประสบการณ์ของคนเจนเอ็กซ์ (Gen X : เกิดปี 2503-2522) ที่ขาดโอกาสในการเรียนรู้ด้านการเงิน (Financial Literacy) จึงเริ่มลงทุนช้า ดังนั้นทั้งสถานศึกษาและสถานประกอบการ ควรให้ความรู้เพื่อการวางแผนการออม การลงทุนในรูปแบบที่หลากหลาย การบริหารจัดการสินทรัพย์และความเสี่ยง ให้แก่นักเรียน-นักศึกษา และผู้เริ่มต้นประกอบอาชีพ” รศ.ดร.จงจิตต์ ให้ข้อเสนอแนะ
อนึ่ง หากย้อนไปเมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคม 2565 มีการนำเสนอผลการศึกษาโครงการ “การจัดทำนโยบายและมาตรการ และวิเคราะห์ภาระทางการคลังต่อชุดสวัสดิการเพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมสูงอายุของแรงงานนอกระบบ” ซึ่งเป็นความร่วมมือกันระหว่าง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กับ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ก็มีข้อเสนอแนะว่า รัฐต้องกล้าขยายการจัดเก็บภาษี เช่น การขยายฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา การเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มจากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 10
ซึ่งแม้จะมีการต่อต้าน แต่การต่อต้านนั้นมีสาเหตุมาจากที่บุคคลหรือธุรกิจไม่เห็นประโยชน์ของการเข้าสู่ระบบภาษีหรือการขึ้นภาษี ดังนั้น รัฐบาลหรือพรรคการเมืองที่จะดำเนินนโยบายนี้ ต้องระบุเป้าหมายในการนำเงินภาษีที่จะเก็บเพิ่มนี้ไปใช้ให้ชัดเจนในด้านสวัสดิการสังคม เช่น ขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วนำไปใส่ในกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (สปสช.-บัตรทอง) เพราะเป็นสวัสดิการที่ผู้มีรายได้น้อยจำนวนมากใช้บริการ
สัปดาห์นี้ “ที่นี่แนวหน้า” รวบรวมความเคลื่อนไหวในแวดวงวิชาการที่เกี่ยวกับข้อเสนอแนะรับสังคมสูงวัย ทั้งในส่วนการเตรียมงบประมาณและเตรียมความรู้ จากหลายงานที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อเร็วๆ นี้ โดยหวังว่า ผู้เกี่ยวข้องจะได้เตรียมพร้อมไว้ เมื่อยุคสูงวัยระดับสุดยอดมาถึงในอีกราว 1 ทศวรรษข้างหน้า ปัญหาที่ว่าหนักจะได้ผ่อนเป็นเบา!!!
หมายเหตุ : สำหรับปี 2576 ที่ถูกระบุว่าประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด มีที่มาจาก “รายงานการศึกษาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อการพัฒนาประเทศจากผลการคาดประมาณประชากรของประเทศไทย” ซึ่งจัดทำโดย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.-สภาพัฒน์)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี