ย่างก้าวเข้าสู่เดือนกรกฎาคม พร้อมด้วยอุณหภูมิทางการเมืองที่ร้อนระอุ ด้วยวาระที่สำคัญและจะส่งผลไปถึงระยะยาวทั้งพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน รวมถึงประชาชนทั่วไปก็คงจะจับตาดูวาระการประชุมในรอบเดือนนี้เป็นพิเศษ เพราะผลสรุปของการประชุมในบางเรื่องของเดือนนี้ จะเป็นตัวบ่งบอกอนาคตของการเมืองไทยหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า ว่าพรรคใดที่มีโอกาสจะเป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาลในครั้งถัดไปกันแน่?
ท่ามกลางสถานการณ์ปัจจุบันที่ต้องยอมรับว่า ความนิยมของพรรคพลังประชารัฐ รวมถึงตัวของพลเอกประยุทธ์เอง นั้นไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จากคลื่นโควิด สู่คลื่นเศรษฐกิจ ตามมาด้วยคลื่นลูกใหม่ที่เรียกว่าเงินเฟ้อจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกและภาวะสงครามที่ถาโถมมาสู่ประเทศไทยอย่างไม่หยุดหย่อน และได้ส่งผลโดยไม่ตั้งใจต่อคะแนนความนิยมของพลเอกประยุทธ์ รวมถึงพรรคพลังประชารัฐให้ต้องเข้าสู่ภาวะที่ต้องดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
แม้กระทั่งเรื่องความมั่นคงซึ่งถือเป็นจุดแข็งของรัฐบาลนี้แต่ล่าสุดยังมีเรื่องยุทโธปกรณ์ เพื่อนบ้าน ที่ได้ตีวงกลับลำกว้างเกินไป จนรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่น่านฟ้าของประเทศไทย จนไม่วาย ถูกตั้งคำถาม ถึงเรื่องการปกป้องอธิปไตยของประเทศ ซึ่งในเรื่องนี้ การพิจารณาอาจไม่ได้ง่ายๆ อย่างที่หลายคนคิด
เป็นที่ทราบกันดีว่าทั้งประเทศไทยและเมียนมา ก็ต่างมีความผูกพันกันมาอย่างยาวนาน รวมถึงในด้านของที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่อยู่ติดกัน หากสถานการณ์ตึงเครียดขึ้นคงจะไม่ดีแน่ เพราะอาจนำมาซึ่งความขัดแย้งระหว่างเพื่อนบ้าน และอาจนำมาซึ่งความเสียหายต่อประชาชนในละแวกความขัดแย้งทั้งต่อบ้านเรือน ต่อชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงความรู้สึกของประชาชนทั้งสองชาติต่อกันเหมือนกรณีเขาพระวิหารที่เป็นต้นเหตุแห่งความขัดแย้งของประชาชนทั้งสองชาติตอนนี้ การกระทำที่ตอบโต้ด้วยความรุนแรงระหว่างประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกันจึงไม่ใช่ทางออกที่ดีเสมอไป แนวทางจัดการปัญหาก็ต่างกันแบบไม่ได้มีพรมแดนติดกันและเป็นเช่นนี้ทั่วโลก
ก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2558 เคยเกิดปัญหาข้อขัดแย้งระหว่างประเทศตุรเคียและประเทศรัสเซีย โดยได้มีการข้อขัดแย้งเรื่องการรุกล้ำน่านฟ้ากันไปกันมา ก่อนจะลุกลามบานปลายไปสู่ความตึงเครียดระหว่างประเทศ จากการที่ทางการตุรเคียได้โจมตีเครื่องบินรบของทางรัสเซีย เป็นเหตุให้เครื่องบินรบของทางรัสเซียตก พร้อมด้วยนักบินที่เสียชีวิต จนสุดท้ายทางการตุรเคียต้องส่งสารกล่าวขอโทษถึงทางการรัสเซีย
หากมองถึงสถานการณ์ตรงหน้า จะมองว่า พลเอกประยุทธ์ไม่สามารถปกป้องน่านฟ้าของประเทศไทยได้ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่หากมองในแง่ของผลกระทบที่ตามมา ก็คงต้องพิจารณาอีกแบบ
เรื่องของชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนไม่สามารถใช้การแก้ปัญหาแบบแข็งกร้าวได้ เพราะจะมีผลไปถึงประชาชนในพื้นที่บริเวณรอบๆ ทั้งสองฝั่ง และจะกระทบต่อความสัมพันธ์ด้านการค้า โดยเฉพาะการค้าชายแดน แม้ชายแดนไทยเมียนมาจะพบปัญหาทั้งเรื่องของยาเสพติด และชนกลุ่มน้อยข้ามฝั่งมาอยู่บ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เอาเข้าจริงการค้าชายแดนระหว่างไทยและพม่าทุกด่านตลอดแนวชายแดน ประเทศไทยมักจะเป็นฝ่ายได้ดุลมาโดยตลอดไม่ว่าฝั่งตรงข้ามด่านจะเป็นพม่าหรือชนกลุ่มน้อยในเมียนมา
นอกจากนี้พรมแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศเมียนมา มีพื้นที่ชายแดนยาวที่สุด มากกว่าเพื่อนบ้านอย่างลาวและกัมพูชา และหากว่ากันตามตรงปัญหาการรุกล้ำน่านฟ้าเข้ามาชายแดนไทยครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากความขัดแย้งของทั้งสองประเทศแบบกรณีไทย-กัมพูชาในอดีต แต่เป็นปัญหาการเมืองภายในเมียนมา ดังนั้นจึงไม่ควรเอาปัญหาของเขามาเพิ่มเป็นปัญหาของเราอีก
หากเรามุ่งเอาเรื่องของการเมืองเป็นหลัก เราอาจเป็นฝ่ายที่สูญเสียเองหรือไม่? อย่างในกรณีของพื้นที่ทับซ้อนบริเวณเขาพระวิหาร ที่เป็นข้อพิพาทระหว่างประเทศไทยและประเทศกัมพูชา ที่น่าจะต้องใช้เวลาอีกนานในการทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศให้กลับมาดีดังเดิม
แต่อย่างไรก็ตามการที่พลเอกประยุทธ์ ก็เป็นผู้นำทางการทหาร ควบกับตำแหน่งผู้นำประเทศ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกตั้งคำถามทั้งจากสื่อมวลชน รวมถึงจากพรรคฝ่ายค้านที่อาจใช้จุดนี้ เป็นหนึ่งในอาวุธที่ใช้สะกิด พลเอกประยุทธ์ ในจุดแข็งเดียวที่ประชาชนเชื่อมั่นว่าต่างจากพรรคการเมืองอื่น นั่นก็คือ เรื่องความมั่นคง?
เมื่อผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นทั้งในนามพรรคพลังประชารัฐ รวมถึงตัวของพลเอกประยุทธ์เอง ที่เป็นนายกฯและกุมรัฐบาลมายาวนานเกือบ 8 ปี ย่อมมีรอยช้ำและจุดอ่อนในสายตาประชาชนให้โจมตีได้มากตรงข้ามกับพรรคเพื่อไทยตอนนี้ที่กำลังปรับฝุ่นปรับทัพภายในใหม่ทั้งหมด รวมถึงกำลังเดินไปสู่จุดได้เปรียบในกติกาการเลือกตั้ง อย่างกรณีกติกาบัตรเลือกตั้งสองใบ แต่นั่นเป็นเพียงหนึ่งในตัวแปรเท่านั้น เพราะในตอนนี้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญสองฉบับ ไม่ว่าจะเป็นร่างพ.ร.บ.พรรคการเมือง รวมถึงร่างพ.ร.บ.การเลือกตั้ง สส. ที่แม้จะได้ข้อสรุปแล้วในขั้นกระบวนการ แต่กลับดูแล้วน่าจะยืดเยื้อและไม่จบง่ายๆ
หลายฝ่ายก็คงจับตามองว่า ผลสรุปแล้ว สูตรในการคำนวณหา สส.บัญชีรายชื่อนั้น จะถูกกำหนดมาในรูปแบบใดกันแน่? เพราะในตอนนี้ นายสาธิต ปิตุเตชะ จากค่ายประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการจะสรุปผลออกมาในรูปแบบที่ให้ใช้สูตรหาร 100 และพรรคการเมืองใหญ่ทั้งจากขั้วรัฐบาลและขั้วฝ่ายค้านเองก็ต่างเห็นดีเห็นงามด้วย จะมีก็แต่ท่าทีของพรรคเล็กที่น่าจะกังวลกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ไม่ใช่น้อย เพราะจะทำให้พรรคเล็กตกอยู่ในสภาวะที่นั่งลำบากในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งหน้า จนฝ่ายจึงต่างลงความเห็นว่า พรรคเล็กน่าจะมีโอกาสสูงที่จะสูญพันธุ์ในการเลือกตั้งครั้งหน้าก็เป็นได้หรือไม่?
จึงไม่แปลกที่ก่อนหน้านี้จะมีข่าวพรรคการเมืองขนาดย่อม มีความพยายามในการนัดพบพลเอกประวิตร ณ บ้านป่ารอยต่อ เพื่อหารือ หรือสอบถามถึงความเป็นไปได้ในการใช้เลข 500 มาหารแทนที่ แต่ก็คงจะเป็นไปได้ยากที่จะเปลี่ยน เพราะเส้นทางของการหารด้วยร้อยเดินทางมาเกือบครึ่งแล้ว หากจะหันหลังกลับไปยังจุดเริ่มต้นใหม่ก็คงจะไม่เป็นผลดีนัก เพราะแม้จะได้ใจพรรคเล็ก แต่ก็อย่าลืมว่าพรรคใหญ่ทั้งสองฝั่งจะเสียผลประโยชน์ตรงจุดนี้ จึงน่าจะเปลี่ยนแปลงยาก เว้นการต่อรองบางอย่างเรื่องคะแนนเสียงในสภา?
เพราะต้องยอมรับว่า แม้กติกาแบบบัตรสองใบจะเป็นประโยชน์ต่อพรรคใหญ่มากกว่า แต่พรรคเล็กก็ยังคงเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในรัฐบาลชุดนี้ ในการประคองสภาช่วงโค้งสุดท้าย รวมถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรอบนี้ด้วย
อย่างไรก็ตาม หากสูตรการคำนวณหาร 500 เกิดจับพลัดจับผลู ผ่านกระบวนการทั้งในสภาฯ หรือแม้กระทั่งหน่วยงานอย่างคณะกรรมการการเลือกตั้งมาได้ ก็ยังคงต้องเจอกับด่านใหญ่อย่างศาลรัฐธรรมนูญ ในการชี้ขาดว่าสุดท้ายแล้วจะใช้สูตรใดกันแน่ ซึ่งก็มีความเป็นไปได้สูง ที่ข้อเรียกร้องหาร 500 ที่เป็นความหวังของพรรคเล็กก็น่าจะถูกปัดตกในชั้นศาล เนื่องจากสูตรการคำนวณ สส. ในรูปแบบหาร 500 ดูแล้วจะติดปัญหามากกว่าสูตรหาร 100 ทั้งในแง่ของข้อกฎหมาย รวมถึงข้อจำกัดทางการเมือง ดังนั้นจึงน่าจะไปที่สูตร 100 ที่พรรคใหญ่ได้เปรียบแต่อาจต้องใช้เวลา และแน่นอนเลือกตั้งจึงเร็วสุดที่ปลายปีหรืออาจต้นปีหน้าก่อนหรือพอดีหมดสมัย
กระนั้น ในตอนนี้แต่ละพรรคการเมืองดูจึงเตรียมความพร้อมสำหรับการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตกันแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพรรคเพื่อไทย ที่ตอนนี้ดูรูปเกมจะเข้าทางที่สุด หากเปรียบเป็นกีฬาลูกหนัง ก็คงไม่ต่างจากการซัดลูกแบบเข้าข้อด้วยทั้งกฎบัตรเลือกตั้งสองใบ ที่เป็นประโยชน์อย่างมากต่อตนเองในยุคนี้เมื่อเทียบกับทั้งคู่แข่งฝั่งตรงข้ามและคู่แข่งฝั่งเดียวกัน รวมถึงสูตรการคำนวณแบบหารร้อย ซึ่งรูปแบบในการคำนวณก็เป็นรูปแบบเดียวกับที่พาเพื่อไทยเถลิงบัลลังก์แชมป์ ในการเลือกตั้งมาแล้ว ในสมัยของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ด้วยจำนวนสส. 48 ที่นั่ง จึงไม่แปลกที่พรรคเพื่อไทย จะมั่นออกมั่นใจว่าจะสามารถแลนด์สไลด์ในการเลือกตั้งครั้งนี้หากกติกาเป็นเช่นนี้
ในขณะที่เพื่อไทยกำลังมั่นใจเป็นพิเศษ แต่พรรคประชาธิปัตย์เองก็เสียงแตกในเรื่องนี้ มีทั้งฝั่งที่เห็นด้วยทั้งกับการหารร้อยและการหารห้าร้อย แต่อย่างไรก็ตาม สูตรหารร้อยจึงอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนักของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะตอนนี้สถานะของประชาธิปัตย์ต่างไปจากเดิม จึงมีความเสี่ยงที่ต้องวัด
ส่วนพรรคก้าวไกลกลับมีท่าทีที่อึกอักกับเลข 100 และดูจะอยากให้เป็นสูตรเลข 500 มากกว่า? เพราะเป็นไปได้ยากที่พรรคก้าวไกลจะได้ที่นั่งในสภาฯ ในจำนวนเหมือนที่เป็นอยู่ จึงมีความสุ่มเสี่ยงกับสูตรนี้ งานนี้จึงดูไม่ใช่งานยากงานเดียวของพรรคก้าวไกล เพราะนอกจากจะต้องต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามแล้ว การมีกติกาแบบนี้ก็ยากที่จะต่อสู้กับพรรคฝั่งเดียวกันที่มียุทธศาสตร์แลนด์สไลด์
แม้ศึกอภิปรายในครั้งนี้ ดูแล้วจะไม่ใช่งานยากของพรรครัฐบาลสักเท่าไหร่นัก เพราะหากวัดจาก พ.ร.บ.งบประมาณ 2565 ที่ผ่านมาที่รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์สามารถเอาตัวรอดมาได้ ซึ่งก็น่าจะทำให้ฝ่ายค้านต้องยอมรับชะตากรรมมาก่อนในระดับหนึ่งแล้วว่า มีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์จะสามารถอยู่ได้จนครบวาระ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ต้องมีเรื่องให้พลพรรคฝ่ายรัฐบาลต้องลุ้น เพราะในบางเรื่องก็ยังเป็นเรื่องที่ยังไม่ถูกเฉลย
ก่อนหน้านี้ในศึก พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2566 ท่าทีของพรรคเศรษฐกิจไทย ที่ในตอนแรกได้สร้างความกังวลให้กับหลายฝ่ายว่าจะล้มโต๊ะรัฐบาลหรือไม่? แต่ผลสุดท้ายพรรคเศรษฐกิจไทย
ก็ยังคงลงคะแนนสนับสนุนรัฐบาลอยู่ อาจเพราะด้วยความสัมพันธ์ระหว่างร้อยเอกธรรมนัส บิ๊กพรรคเศรษฐกิจไทยและพลเอกประวิตร ที่เหนียวแน่น เพราะสำหรับร้อยเอกธรรมนัสแล้วพลเอกประวิตรก็เปรียบเสมือนกับผู้หลักผู้ใหญ่ที่ให้ความเคารพ
ส่วนพลเอกประวิตรก็คงมองร้อยเอกธรรมนัสในฐานะรุ่นน้องคนสนิท ที่สามารถมอบหมายงานให้ปฏิบัติได้ อย่างไม่ต้องเคลือบแคลงใจใดๆ เพราะหากจำกันได้ ร้อยเอกธรรมนัสก็เป็นผู้ที่คอยประสานงานระหว่าง 3 ป. และพรรคเล็ก ตั้งแต่สมัยอยู่พรรคพลังประชารัฐแล้ว และถึงแม้ว่าร้อยเอกธรรมนัส จะย้ายสังกัดไปอยู่พรรคเศรษฐกิจไทยแล้ว ก็ยังปรากฏถึงข่าวร้อยเอกธรรมนัสและพรรคเล็กพบปะหารือกันอยู่อย่างไม่ขาด ร้อยเอกธรรมนัสจึงอาจมีคะแนนในมือจากพรรคเศรษฐกิจไทยและคะแนนพันธมิตรจากพรรคเล็กอีกรวมไม่น้อย
แต่ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้แตกต่างออกไปเพราะในศึก พ.ร.บ.งบประมาณ ปี 2566 เรียกได้ว่าเป็นตัวชี้เป็นชี้ตายของรัฐบาลทั้งชุด มีความเกี่ยวข้องกับพลเอกประวิตรโดยตรงอยู่ แต่ในเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนนี้ เป็นการอภิปรายในรูปแบบที่สามารถเลือกไว้วางใจ หรือไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคลได้ เพราะฉะนั้นท่าทีของร้อยเอกธรรมนัสที่มีต่อพลเอกประวิตร จึงไม่จำเป็นต้องเท่ากับที่มีต่อพลเอกประยุทธ์ รวมถึงรัฐมนตรีคนอื่นเป็นรายบุคคล? ที่อาจกลายเป็นตัวกำหนดชะตารัฐมนตรีหลายคนโดยเฉพาะในมุ้งพลังประชารัฐเองว่าจะไปรอดหรือไม่?
อย่างไรก็ตาม ก็อาจจะมีงูเห่าจากพรรคฝ่ายค้านที่ได้เตรียมหันหลังให้กับสำนักเดิม และเตรียมย้ายเข้าสังกัดพรรคใหม่ ยังไม่นับรวมถึงจากมือปริศนาในอนาคต ที่อาจเข้ามาเป็นแรงหนุนเพิ่มเติมให้กับทางรัฐบาลหรือไม่? และในศึกครั้งนี้ก็ต้องยอมรับว่าความเข้มข้นนั้นยังไม่มีอะไรมาปลุกเร้ากระแสประชาชนมากนัก เมื่อเทียบกับครั้งก่อนๆ
ในตอนนี้ รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์กำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก และถูกตั้งคำถามอย่างมากในขั้นตอนการบริหาร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปากท้องของประชาชน เงินเฟ้อ รวมถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งล้วนแล้วแต่ส่งผลถึงคะแนนความนิยมของพลเอกประยุทธ์ทั้งสิ้น และน่าจะส่งผลต่อความคิด และการตัดสินใจของประชาชน แต่จะมากหรือจะน้อย ก็คงต้องรอดูกัน แต่กับสส.ในสภาก็อย่างที่กล่าวมาแล้ว ว่าไม่น่าจะมีอะไร
“ต่อให้สตรีนางนั้นเคยร่วมทุกข์ร่วมสุข อยู่ร่วมกับบุรุษผู้นั้นมานานปี
ก็ไม่แน่นักว่า จะเข้าใจความนึกคิดและความรู้สึกของบุรุษผู้นั้นจนหมดสิ้น”
โกวเล้ง จาก ซาเสียวเอี้ย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี