วันเสาร์ ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
เมื่อต้นสัปดาห์ที่แล้วสื่อหลายสำนักได้ออกข่าวเด็กนักเรียนโรงเรียนดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานครติดโรคโควิด-19 รวมกันประมาณ 700 ราย ซึ่งเป็นกระแสข่าวที่น่าจะสร้างความวิตกกังวลให้สังคมได้มากพอสมควร โดยเฉพาะในหมู่พ่อแม่ผู้ปกครองของเด็กนักเรียนทั้งหลาย ซึ่งก็ทราบกันดีว่า ไม่ใช่เฉพาะโรงเรียนดังกล่าวเท่านั้นที่มีการติดเชื้อโควิด-19 แต่ยังมีนักเรียนในอีกหลายโรงเรียนในพื้นที่กรุงเทพมหานครฯ และปริมณฑล ที่มีการติดเชื้อของนักเรียนในลักษณะเป็นกลุ่มก้อนแต่อาจจะไม่มีจำนวนมากนัก
นอกจากนี้ ยังพบว่า การติดเชื้อแบบกลุ่มก้อนนั้นเกิดขึ้นในกลุ่มของผู้ที่ทำงานร่วมกันรวมทั้งภายในครอบครัว ซึ่งหลายครอบครัวมีการติดเชื้อโควิด-19 เกือบจะทุกคน ถึงแม้ว่าตัวเลขที่กระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยในแต่ละวันจะยังคงนำเสนอตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่ระดับ 2,000 รายเศษและมีการเสียชีวิตที่ระดับ 20 ราย นั้นก็เพราะว่าเป็นการนำเสนอตัวเลขเฉพาะผู้ที่ติดเชื้อรายใหม่ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเท่านั้นเอง แต่โดยความจริงแล้วขณะนี้มีผู้ติดเชื้อจำนวนมากในแต่ละวัน และในหลายจังหวัดทั่วทั้งประเทศที่มีการติดเชื้อ และเมื่อมาขอรับการรักษาจากโรงพยาบาลก็จะได้รับยาเพื่อกลับไปรักษาตัวเองที่บ้าน ตามแนวทางที่เรียกว่าเจอ แจก จบ เป็นจำนวนมาก ซึ่งเชื่อกันว่าในแต่ละวันน่าจะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ถึงระดับที่มากกว่า 50,000 ราย
หากติดตามดูตัวเลขของผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่มีอาการหนักและต้องเข้ารับการรักษาในห้องผู้ป่วยวิกฤตหรือ ICU โดยใช้เครื่องช่วยหายใจด้วยนั้น ตัวเลขล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 800 ราย โดยส่วนใหญ่ของผู้ป่วยกลุ่มนี้เป็นผู้สูงอายุเกินกว่า 60 ปี และเป็นผู้ที่มีโรคเรื้อรังประจำตัวที่รู้จักกันดีว่าเป็นกลุ่ม 608 โดยจำนวนไม่น้อยของผู้ป่วยกลุ่มนี้ไม่ได้รับวัคซีนหรือรับวัคซีนไม่ครบตามเกณฑ์มาตรฐานคือควรจะมากกว่า 2 เข็ม และควรจะได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นที่เรียกกันว่าเข็มที่ 3 หรือเข็ม Booster ด้วยแล้ว ฉะนั้นเมื่อมีการติดเชื้อจึงมีอาการรุนแรงเกิดขึ้นอันอาจจะนำไปสู่การเสียชีวิตได้
เป็นที่ทราบกันดีว่าโรคโควิด-19 ซึ่งระบาดอยู่ในขณะนี้เกิดจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน BA.1 และ BA.2 แต่เชื้อที่กำลังจะทำให้เป็นปัญหามากขึ้นและมากขึ้นในปัจจุบันนี้คือเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 ซึ่งเป็นเชื้อที่มีการระบาดได้อย่างรวดเร็วมากกว่าสายพันธุ์เดิม และคาดว่าผู้ติดเชื้อรายใหม่ในปัจจุบันนี้น่าจะเกิดจากสายพันธุ์ BA.4 และ BA.5 ไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ การระบาดซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้จึงเกิดขึ้นและกระจายไปในกลุ่มต่างๆ อย่างรวดเร็วมาก แต่ทั้งนี้อาจจะเป็นผลสืบเนื่องมาจากพฤติกรรมที่เริ่มเปลี่ยนแปลงของประชาชนทั้งหลายก็เป็นได้ โดยอาจจะมาจากแนวความคิดที่ว่า
1.จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงเรื่อยๆ แล้วแสดงว่าการระบาดลดน้อยลงและไม่น่าจะกระทบถึงประชาชนมากนัก จากการดูเพียงตัวเลขของผู้ป่วยแต่ละวันที่ทางการนำมาเปิดเผย รวมทั้งได้รับข่าวมาโดยตลอดว่าโรคนี้จะเป็นโรคประจำถิ่นตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม เป็นต้นมา
2.มีผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วเป็นจำนวนมาก ซึ่งน่าจะทำให้เกิดสภาพของภูมิคุ้มกันหมู่ตามทฤษฎี แต่ความเป็นจริงอาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะจะเห็นว่า การฉีดวัคซีนถึงแม้จะได้รับไปแล้ว 4, 5 หรือแม้แต่ 6 เข็มดังเช่นที่มีข่าวในผู้บริหารระดับประเทศบางท่าน แต่ก็พบว่าท่านก็ยังติดเชื้อและมีอาการโควิด-19 เกิดขึ้น
3.กระแสข่าวที่แม้ว่าในระยะแรกๆ ของการตรวจพบผู้ป่วยที่ติดเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์ BA.4 หรือ BA.5 จะดูเหมือนมีอาการมากพอสมควร แต่ในที่สุดก็ยังไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจน จึงอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้คนทั่วไปเกิดความประมาทในการดูแลตัวเอง
เมื่อมาดูข้อมูลที่แท้จริง ในเรื่องจำนวนของผู้ติดเชื้อรายใหม่ในปัจจุบันนี้จะพบว่าตัวเลขที่แถลงในแต่ละวันนั้นมีจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับตัวเลขของผู้ติดเชื้อรายใหม่จริง ซึ่งมีจำนวนมากตามที่กล่าวไว้แล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่มีอาการร้ายแรงแต่ก็ยังเป็นกลุ่มที่จะทำให้เกิดการแพร่กระจายและระบาดของเชื้อไปสู่บุคคลอื่นได้โดยง่ายหากประชาชนยังขาดความระมัดระวัง และไม่ยึดแนวปฏิบัติในการดำเนินชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่ให้เคร่งครัด ทั้งในเรื่องของการสวมหน้ากากอนามัยเมื่อออกนอกบ้านหรือแม้แต่เมื่ออยู่ในบ้านหากมีบุคคลที่อาศัยอยู่ด้วยเข้าข่ายของผู้ที่เสี่ยงจากการสัมผัสกับผู้ร่วมงานที่มีอาการหรือป่วย ดังจะเห็นได้จากการที่มีผู้สูงอายุซึ่งอาจจะไม่ได้วัคซีนพอเพียง รวมทั้งผู้ป่วยติดเตียงจำนวนไม่น้อย ติดเชื้อโควิด-19 นี้จากการนำเข้ามาของผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านหลังเดียวกัน ซึ่งต้องออกไปทำงานนอกบ้าน และนอกเหนือจากการสวมหน้ากากอนามัยแล้ว การรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล รวมทั้งการล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ 75 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัสนี้ได้ ยังเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง
ในเรื่องของจำนวนผู้ที่ได้รับวัคซีนตัวเลขของผู้ที่ได้รับวัคซีนในแต่ละวันไม่ได้มีมากเหมือนอย่างที่เคยเป็นในอดีตสมัยที่มีการระบาดของเชื้อสายพันธุ์เดลต้า โดยพบว่าในแต่ละวันมีการฉีดวัคซีนรวมน้อยกว่า 100,000 โดส อาทิ วันที่ 7 กรกฎาคม ที่ผ่านมามีผู้ฉีดวัคซีนรวมแค่ 57,000 รายเศษ และวันที่ 8 กรกฎาคม มีผู้ฉีดวัคซีนรวมแค่ 70,000 รายเศษ เมื่อเทียบกับในอดีตที่เคยฉีดวันละหลายแสนราย หากจำแนกตามจำนวนเข็มก็จะพบว่าผู้ที่ได้รับวัคซีน 1 เข็ม ตัวเลขก็ยังอยู่ที่ระดับ 82 เปอร์เซ็นต์ ตัวเลขผู้ที่ได้รับ 2 เข็มก็ยังคงอยู่ที่ระดับ 76 เปอร์เซ็นต์ และผู้ที่ได้รับเข็มกระตุ้นหรือเข็มที่ 3 แล้วขยับขึ้นไปเล็กน้อย อยู่ที่ 43 เปอร์เซ็นต์ และหากดูลึกลงไปในรายละเอียด ก็จะพบว่าในกลุ่มผู้สูงอายุเกินกว่า 60 ปีซึ่งมีจำนวน 12 ล้านคน และถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงนั้น ก็ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 เพียงแค่ 47 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ส่วนในกลุ่มเด็กอายุ12-17 ปีที่มีเป้าหมาย 4 ล้านคน ก็เพิ่งได้รับเข็มที่ 3 เพียง 20.5 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่เด็กอายุ 5-11 ปีที่มีเป้าหมาย 5 ล้านคนเพิ่งได้รับวัคซีนเข็ม 2 เพียง 40.9 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง โอกาสของการที่จะได้รับเชื้อและมีอาการจึงยังมีอยู่มากพอสมควร
ส่วนเรื่องความรุนแรงของอาการกรณีที่มีการติดเชื้อนั้น ขณะนี้มีข้อมูลว่าผู้ที่ติดเชื้อสายพันธุ์ BA.4 มีน้อยกว่าผู้ที่ติดเชื้อสายพันธุ์ BA.5 แต่เชื้อทั้งสองนี้ถึงแม้ไม่ได้ก่อให้เกิดอาการที่รุนแรงกว่าปกติ แต่ก็พบว่าเชื้อทั้งสองตัวมีฤทธิ์ในการกดภูมิคุ้มกันซึ่งมีอยู่ในร่างกายได้มากพอสมควร ฉะนั้นหากภูมิคุ้มกันที่มีอยู่มีปริมาณลดน้อยลงแล้ว ก็อาจจะทำให้เกิดอาการที่มากได้เช่นกัน ถึงแม้จะฉีดวัคซีนไปครบ 2 เข็มแล้วก็ตาม ซึ่งโดยตัวของวัคซีนเองก็สร้างภูมิคุ้มกันให้สูงขึ้นได้เพียงระยะประมาณ 3-4 เดือนเท่านั้นและก็จะเริ่มลดลง
ในขณะนี้ภาครัฐจึงเริ่มรณรงค์และเรียกร้องให้ประชาชนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น ควรต้องกลับมารับการฉีดวัคซีนเป็นเข็มกระตุ้นเข็มที่ 1 หรือเข็มที่ 3 เพิ่มเติมหลังจากฉีดเข็มที่ 2 ไปแล้ว 4 เดือนเป็นต้นไป ส่วนผู้ที่เคยได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นที่ 1 ไปแล้ว เมื่อครบ 4 เดือนก็ควรจะกลับมาฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเข็มที่ 2 ด้วยเช่นกัน เพราะจะทำให้ปริมาณของภูมิคุ้มกันมีระดับสูงอยู่อย่างต่อเนื่อง หากมีการติดเชื้อเกิดขึ้นก็จะไม่มีอาการรุนแรง
เนื่องจากจำนวนของผู้ติดเชื้อรายใหม่ตามความเป็นจริงที่มีจำนวนมากมายในแต่ละวัน ถึงแม้จะไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อยเมื่อตรวจด้วยชุดตรวจ ATK พบว่าให้ผลบ่งชี้ว่ามีการติดเชื้อแล้ว ก็จะขอเข้ารับการรักษาจากโรงพยาบาล ซึ่งส่วนใหญ่ก็ยังได้รับการรักษาโดยได้รับยาตามสูตรมาตรฐาน อันประกอบด้วยยาฟาวิพิราเวีย ยาลดไข้ยาลดน้ำมูก ยาแก้ไอ เป็นต้น จึงทำให้เกิดปริมาณของการใช้ยามหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาฟาวิพิราเวียซึ่งขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขยังคงเป็นผู้จัดหาหลัก ทั้งจากการสั่งจากต่างประเทศ เช่นประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งจากการผลิตจากองค์การเภสัชกรรมของประเทศไทย ซึ่งเริ่มมีกระแสข่าวว่าจำนวนยาที่มีอยู่ในขณะนี้ อาจจะมีจำนวนไม่เพียงพอต่อการจ่ายให้กับผู้ติดเชื้อในระยะเวลาใกล้ๆ นี้ ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นจริงย่อมจะส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนที่ติดเชื้อโรคนี้ ซึ่งอาจจะมีจำนวนนับแสนรายต่อวันก็เป็นได้ และอาจจะส่งผลกระทบถึงรัฐบาล โดยเฉพาะขณะนี้ใกล้ระยะเวลาการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ เรื่องนี้อาจจะถูกนำมาเป็นประเด็นที่สำคัญประเด็นหนึ่งก็เป็นได้
ไม่มีใครอยากเจ็บป่วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกคนต้องรู้จักการป้องกันตัวเอง จึงต้องนำแนวทางการดำเนินชีวิตตามแนวชีวิตวิถีใหม่มาปฏิบัติอย่างเคร่งครัด รวมทั้งการเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ซึ่งสามารถจะกระทำได้โดยสะดวกแล้ว แต่ในเรื่องการรักษานั้นก็ยังเป็นบทบาทของภาครัฐที่จะต้องจัดให้กับประชาชน ให้ได้รับในสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่จะสามารถจะกระทำได้ และยายังคงเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดและต้องการมากที่สุด ในความรู้สึกของผู้ที่เจ็บป่วยเสมอ

ชาวนนท์ระทึก! น้ำเจ้าพระยาหนุนทะลักจ่อท่วมหลายจุด
ซีลชายแดน! จุดตรวจช่องเม็ก-ปากแซง-เขมราฐ‘ตม.อุบลฯ’ตรวจเข้มบุคคลเข้า-ออก สกัด‘สแกมเมอร์’
'สรวงศ์' อวดภาพ 'อิ๊งค์' เซ็นหนังสือ '31 ผลงาน สางปัญหา สร้างโอกาส' ของนายกฯคนที่ 31
กองทัพเรือเตรียมพร้อมเต็มที่ รับมือพายุคัลแมกี เพื่อช่วยเหลือประชาชน
'พิสิษฐ์' ยัน 'วุฒิสภา' ไม่มียื้อถ่วง แก้ รธน. แจงองค์ประชุมกมธ.ฯล่ม เหตุไร้ความชัดเจน

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี