สังคมของนักเลือกตั้งกับนักประชาธิปไตยนั้นเป็นเรื่องของ “สองคนยลตามช่อง” ยิ่งเห็น “ผู้เฒ่าเฉาฉุ่ย” อย่าง “อดีตประธานแนวร่วมประชาชนต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ จังหวัดมหาสารคาม สุทิน คลังแสง” ประธานวิปพรรคร่วมฝ่ายค้านออกมาให้สัมภาษณ์ สื่อมวลชนอวยเยินยอ “ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย” ที่ประกาศย้ายข้างยุติบทบาทให้การสนับสนุน “รัฐบาลลุงตู่ - พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา” และข่มขู่อาจจะยกมือฆาตกรรมรัฐมนตรีบางรายใน “ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจตามมาตรา 151 ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย 2560 ด้วยเหตุผลว่า ความนิยมรัฐบาลของประชาชนถดถอย หลังแพ้การเลือกตั้งซ่อม “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดลำปาง เขต 4”
ผู้เฒ่าเฉาฉุ่ยบอกว่ากรณี “ร้อยเอกธรรมนัส - พรรคเศรษฐกิจไทย” ถอนตัวออกจากการร่วมรัฐบาลทำให้การอภิปรายไม่ไว้วางใจมีความหวังล้มรัฐบาลได้ แม้นับมือในสภาแล้วยังไม่พอล้มรัฐบาลได้ แต่เป็นสิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องทบทวน เพราะมีพรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว หากเป็นรัฐบาลอื่นต้องพิจารณาตัวเองแล้ว
การที่พรรคเศรษฐกิจไทยถอนตัวนี้ หลายพรรคคงพิจารณาว่า จะเดินตามแนวทางนี้ด้วยหรือไม่ใน 2 ปัจจัย อย่างแรกการปฏิเสธรัฐบาลมีมากขึ้นเรื่อยๆ ใครยังอยู่ต่อก็จะโดนร้องยี้ไปด้วย แต่นี่คือ “ทองคำ” ถ้าอยู่ใกล้ตะกั่วก็จะหมอง ตรงข้ามกับ “นิโรธ สุนทรเลขา - องครักษ์พิทักษ์หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ - ประธานวิปพรรคร่วมรัฐบาล” กลับมองผลการเลือกตั้งซ่อมเขต 4 ลำปาง ว่าพรรคเศรษฐกิจไทยไม่ได้แพ้ แต่เพราะ จ.ลำปาง เป็นพื้นที่ไข่แดงของพรรคเพื่อไทย มีบ้านใหญ่ดูแลถึง 2 บ้าน(โล่ห์สุนทร, จันทรสุรินทร์)และยังมีบ้านใหญ่อิสระของบุญชูตรีทอง “บ้านชัย” อีกค่าย ดังนั้นการที่พรรคเศรษฐกิจไทย ได้คะแนนเสียงถึง 3 หมื่น จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องบอกว่าเก่งด้วยซ้ำที่ทำเสียงได้ถึงขนาดนี้
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563 พรรคร่วมฝ่ายค้านชุดเดียวกันนี้ที่มี พรรคเพื่อไทย, พรรคก้าวไกล ฯลฯ ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลจำนวน 6 รายประกอบด้วย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ, นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ, พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย, นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว. ต่างประเทศ, ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ (ขณะนั้น)
จำได้ว่า “ผู้เฒ่าเฉาฉุ่ย”อภิปรายสรุปญัตติดังกล่าวที่กล่าวหาความสง่างามในการเป็นรัฐมนตรีของร้อยเอกธรรมนัสว่าขัดรัฐธรรมนูญปี’60 มาตรา 160 และ มาตรา 98 (10) เนื่องจากมีประวัติอาชญากรรมถูกต้องโทษตามคำพิพากษาศาลรัฐนิวเซาท์เวลส์ ออสเตรเลีย ตามข้อมูลที่นายธีรัจชัย พันธุมาศ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายตั้งข้อกล่าวหา ทั้งยังมีประเด็นเรื่องเป็น 5 เสือกองสลากด้วย
พฤติกรรมเยี่ยงนี้สมควรจะยกคำ “สุภาษิต” ไทยมาเตือนเยาวชนไทยและสังคมไทยให้ทราบว่านี่คือ พฤติกรรมนักเลือกตั้งตลาดล่าง“เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง”ซึ่งพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ขยายความสุภาษิตนี้ว่า “นิยมใช้กับคนที่ออกแนวเห็นแก่ตัวหรือไม่มีทางเลือก กล่าวคือ ไม่พอใจ ไม่ชอบคนนั้น แต่ก็ยังพอใจจากผลประโยชน์ที่เขาให้”
นักการเมืองไทยทำงานการเมืองทำหน้าที่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง หาใช่ประโยชน์ของประเทศชาติบ้านเมืองและประชาชนกระนั้นหรือ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี