รัฐบาลเริ่มกลับมาปล่อยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอีกครั้ง โดยล่าสุดในการประชุม ครม. เมื่อวันอังคารรัฐบาลได้อนุมัติโครงการคนละครึ่งเฟส 5 เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยจะผู้รับสิทธิ์ 26.5 ล้านคน โดยเริ่มใช้ได้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2565 เป็นต้นไป ซึ่งการประชุม ครม. ครั้งนี้นับเป็นการประชุมครั้งแรก หลังจากที่เพิ่งผ่านพ้นจากศึกอภิปรายในสภาฯ ไปหมาดๆ ซึ่งแม้บทสรุปในสภาฯ ดูเหมือนจะจบไปแล้ว แต่ในความเป็นจริงน่าจะเป็นการเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวตลาดการเมืองแบบจริงจังหลังจากนี้ จับตา!
หากจะวิเคราะห์การอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา ฯ รอบที่ผ่านมาก็ต้องขอแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือเนื้อหาอีกส่วนคือการเมือง ซึ่งตอนนี้ก็พอจะเข้าใจสาเหตุของการเร่งการอภิปรายไม่ไว้วางใจขึ้นมาเร็วหลายเดือนกว่าที่คิดได้แล้ว
สำหรับมุมมองเฉพาะเนื้อหาการอภิปราย เอาเข้าจริงก็ไม่ได้ต่างไปจากที่คาดไว้ และเนื้อหาการอภิปรายของฝ่ายค้านเองก็ดูไม่ได้มีอะไรใหม่ และไม่ได้มากพอหรือรุนแรงพอที่จะดึงกระแสมวลชนนำไปสู่การปรับ ครม. แต่อย่างใด หากลองดูที่ตัวเนื้อหาที่ใช้ในการอภิปรายแล้ว ก็พบว่าส่วนใหญ่เนื้อหาที่ได้เผยแพร่ออกมาระหว่างการอภิปรายนั้น เป็นเนื้อหาที่ไม่ได้มีความแปลกใหม่ และหลายเรื่องก็ซ้ำกับที่เคยอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งก่อน บางเรื่องตรงกับตอนอภิปรายงบประมาณ แต่แค่เปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอ อาจเกิดจากรูปแบบที่ฝ่ายค้านใช้วิธีการแบ่งพรรคอภิปรายหรืออะไรก็แล้วแต่
อย่างเนื้อหาของพรรคก้าวไกลที่ใช้อภิปราย หากยังจำกันได้ในเรื่องที่พูดซ้ำกันก็ไม่ได้มีความแตกต่างกับสาระสำคัญที่พรรคเพื่อไทยเคยอภิปรายในครั้งก่อน? เพียงแต่ต้องยอมรับตามตรงว่า หากพูดตามเนื้อผ้าแล้ว พรรคก้าวไกลดูจะประสบความสำเร็จในการนำเสนอข้อมูลมากกว่า ทั้งข้อมูลที่รวบรัด เข้าใจง่าย อารมณ์การอภิปราย และรูปแบบการนำเสนอที่ชัดเจน รวมถึงการสื่อสารนอกสภาแบบทันที แต่ในอีกทางอาจมีคนมองได้ว่าการอภิปรายครั้งนี้ไม่ได้สะท้อนความสามารถในการตรวจสอบการทำงานที่แท้จริงของการเปรียบเทียบสองพรรค เพื่อไทยกับก้าวไกล
อย่างไรก็ตาม กระบวนการของการลงคะแนนสุดท้ายที่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เหนือการคาดการณ์มากนักที่ไม่ได้สร้างความกังวลใจให้กับขั้วรัฐบาลแม้แต่น้อย แล้วยังหันมาให้เสียวสันหลังแต้มในฝ่ายค้านด้วย หากลองมองดูตัวเลขของคะแนนเสียงที่ออกมา ที่เสียงสนับสนุนรัฐบาลยังลอยลำเหนือเสียงโหวตไม่ไว้วางใจอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง และเสียงไม่ไว้วางใจเองก็ยังมีคะแนนต่ำกว่าคะแนนเต็มของสส.ซีกฝ่ายค้าน ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์สามารถอยู่ดำรงตำแหน่งจนครบวาระ และมีความชอบธรรมมากยิ่งขึ้น และยังหมดโอกาสที่ฝ่ายค้านจะใช้เวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภา ฯ ในการโค่นล้มรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ก่อนหมดวาระ เหลือแต่เพียงความหวังของฝ่ายค้านในการรอการพิจารณาเรื่องการดำรงตำแหน่งครบ 8 ปี ว่าจะมีผลอย่างไร ?
เพียงไม่กี่วันหลังจากการประชุมสภาฯ ก็มีความเคลื่อนไหวจากแกนนำพรรครัฐบาล ถึงการพิจารณาสูตรในการใช้คำนวณ สส.บัญชีรายชื่อใหม่ พรรคพลังประชารัฐที่หลังจากได้มีการถกเถียงกันในประเด็นเรื่องนี้ ก็มีการลงความเห็นกันว่า การใช้สูตรคำนวณแบบหาร 500 อาจไม่เป็นผลดีต่อพรรค และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสูตรคำนวณกลับไปสู่การหาร 100 ในที่สุด
โอกาสในการเปลี่ยนแปลงสูตรคำนวณไปเป็นสูตรหาร 100 อาจสร้างความงุนงงให้กับบรรดาพรรคเล็กเป็นอย่างมาก เพราะก่อนหน้าที่จะเปิดศึกอภิปรายบรรดาพรรคเล็กยังมีความหวังกับสูตรหาร 500 แต่ตอนนี้จบอภิปรายแล้ว?
ในเรื่องนี้ซึ่งสภากำลังพิจารณาพ.ร.ป.เลือกตั้ง ซึ่งในมาตราสูตรคำนวณนี้แม้สภา ฯ จะมีการโหวตกันไปแล้ว และแม้เมื่อวันอังคารจะมีประเด็นถอนบางมาตราออกไปพิจารณาใหม่ในชั้นกมธ.แต่ก็ทำได้เฉพาะการแก้มาตราท้ายๆ ไม่อาจย้อนไปแก้มาตราที่เป็นประเด็นได้โดยตรง แต่ถึงกระนั้นก็อาจจะยังมีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ตามมติและความเห็นของทาง กกต. เรื่องนี้ดูท่าจะจบไม่ง่ายๆ และต้องตามดูกันต่อ หากสูตรคำนวณมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นสูตรหาร 100 จริงๆ คงไม่ได้เกิดจากพรรคพลังประชารัฐเพียงพรรคเดียวแน่
หากสูตรคำนวณ สส.บัญชีรายชื่อมีการเปลี่ยนแปลงในภายหลังกลับไปเป็นสูตรหารร้อยอย่างที่ตั้งใจไว้ ก็อาจทำให้ความหวังแลนด์สไลด์ของพรรคเพื่อไทยกลับมาอีกครั้ง เพราะสูตรหาร 500 อาจทำให้พรรคเพื่อไทยดูจะไม่ค่อยกุมความได้เปรียบมากนัก ดังนั้นการประคองสภาด้วยกันไปก่อนเพื่อรอผ่านมาตราสำคัญในเรื่องกติกาเลือกตั้งก็อาจเป็นความตั้งใจหนึ่งของพรรคเพื่อไทยในการปูทางไปสู่การชนะแบบแลนด์สไลด์ ในยามที่ความนิยมของพรรคเริ่มถูกตั้งคำถามมากขึ้น
ต้องยอมรับว่าในยุคหลังมานี้ผลงานของพรรคเพื่อไทยก็ดูจะไม่เป็นรูปเป็นร่างเท่าในอดีต ยิ่งตอนนี้เท่ากับเว้นว่างจากการเป็นฝ่ายบริหารนานร่วมสิบปี รวมถึงผลงานการอภิปรายที่ก็อาจไม่ได้โดดเด่นเป็นเบอร์ 1 อีกต่อไป นี่ยังไม่นับรวมถึงอิทธิพลในแถบภาคอีสาน ภาคที่ถูกมองว่าเป็นคู่บุญคู่บารมีของพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด แต่ในตอนนี้เริ่มมีข้อสงสัยว่าความนิยมของเพื่อไทยจะเริ่มเข้าสู่ช่วงขาลงแล้วหรือไม่ ? ผิดกับอีกหนึ่งพรรคการเมืองที่อยู่ในช่วงสะสมบารมี
ภูมิใจไทยเพื่อนทุกพรรค สมญานามนี้คงไม่เกินเลยจริงๆ เพราะผลลงคะแนนรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทยถือว่าสอบผ่านแบบคะแนนสูง แม้จะโดนโจมตีจากพรรคเพื่อไทย เบอร์หนึ่งฝ่ายค้าน ที่เน้นอภิปรายรัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทยเป็นหลัก ยิ่งมีเรื่องงูเห่าข้ามค่ายที่ดูแล้วน่าจะเป็นความแค้นส่วนตัว และชื่อกิจกรรมไล่หนูตีงูเห่า ที่เพื่อไทยเคยได้จัดขึ้น ก็น่าจะพอทำให้พรรคภูมิใจไทยรู้ตัวว่ากำลังถูกจับตาเป็นพิเศษอย่างไร แต่ผลที่ออกมาไม่ได้แสดงให้เห็นถึงบาดแผลของพรรคภูมิใจไทยสักนิด ยิ่งบ่งบอกถึงความแข็งแกร่งที่มากขึ้นของพรรคภูมิใจไทย รวมถึงคะแนนโหวตที่เหนือทุกพรรคร่วม เป็นรองก็กับรองนายกฯพลเอกประวิตรเท่านั้น
ศึกอภิปรายในสภาฯ ได้สะท้อนถึงอะไรหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็นข้อมูลและศักยภาพของฝ่ายค้าน หรือศักยภาพของรัฐมนตรีรายบุคคลในการตอบอภิปรายตลอดจนบารมีต่างๆ ในการประคองคะแนนโหวตอภิปราย แต่หลังศึกอภิปรายโดยเฉพาะครั้งนี้อาจกำลังสะท้อนภาพตลาดสส.ที่กำลังจะเริ่มขึ้น หรืออาจบอกได้ว่าเริ่มขึ้นแล้วตอนนี้
สถานภาพของแต่ละพรรคการเมืองต่างๆ ตอนนี้ แข็งแกร่งและมีศักยภาพมากเพียงพอ บารมีของหัวหน้าพรรคต่างๆ ในตอนนี้มีมากพอ พร้อมที่จะลุยศึกเลือกตั้งใหญ่ครั้งหน้าหรือไม่ ? เพราะเมื่อการเลือกตั้งยิ่งใกล้เข้ามาเท่าไหร่ บรรดานักการเมืองมืออาชีพก็ย่อมต้องมีการประเมินระดับความสามารถของบ้านตัวเอง ว่ามีศักยภาพมากเพียงพอที่จะพาตนเองยึดที่นั่งในพื้นที่ตนเองกลับมาได้หรือไม่ ? ซึ่งหากประเมินแล้วว่าพรรคต้นสังกัดไม่สามารถพาให้ตนปักธงชัยในสมรภูมิได้ ก็คงต้องหาที่พึ่งใหม่ ซึ่งก็คือเวลาเดียวกับที่แมวมองของแต่ละพรรคกำลังพิจารณาอยู่ตอนนี้
หลังจากนี้พรรคการเมืองหรือหัวหน้าพรรคการเมืองที่อ่อนแอ ก็ต้องเตรียมรับแรงกระแทกจากการปันใจของบรรดาลูกพรรคให้ดี ในขณะที่บางพรรคการเมืองที่นอกจากเนื้อหอมพร้อมแรงดึงดูดแล้วหลังจบอภิปรายก็ยิ่งมีบารมีสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักการเมืองอาชีพทั้งหลายที่จะเข้าไป ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในบ้านที่ถูกจับตามองว่าอาจได้รับความสนใจ ให้เป็นบ้านหลังใหม่ของบรรดาผู้แทนมากที่สุดคงหนีไม่พ้นบ้านภูมิใจไทย เพราะที่ผ่านมาก็สามารถดึงดูดบุคลากรทางการเมืองเข้าพรรคมาได้อยู่เรื่อยๆ ไม่มีตก ส่วนจะมากพอที่จะขยับสถานภาพจากพรรคขนาดกลางไปสู่ขนาดใหญ่ตอนนี้หลายคนมองว่าหากนับแต้มในใจแบบไม่เปิดเผยน่าจะแตะถึงจุดนั้นแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้การันตีว่าหลังเลือกตั้งทุกคนจะได้รับเลือกตั้งกลับมาทั้งหมด
อีกหนึ่งพรรคที่ไม่สามารถละสายตาไปได้แม้แต่น้อย แม้จะโดนค่อนขอดมาโดยตลอดว่าถูกก่อตั้งขึ้นมาเพราะเป็นพรรคเฉพาะกิจ นั่นคือพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งจริงอยู่ที่พรรคพลังประชารัฐมักจะโดนค่อนขอดมาโดยตลอด แต่เมื่อหันไปดูผู้นำทัพ ที่ยังมีรายชื่อของพลเอกประวิตรกุมบังเหียนอยู่ก็พาให้คิดว่า กระแสเรื่องการยุบพรรคพลังประชารัฐที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ อาจไม่เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป ว่ากันตามตรงบารมีของพลเอกประวิตร ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่คอยช่วยค้ำยัน พรรคพลังประชารัฐให้อยู่รอดปลอดภัยมาโดยตลอด และจากศึกอภิปรายครั้งที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างไรแต่พลเอกประวิตรก็เป็นผู้ที่สอบได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง อีกทั้งมีพรรคฝ่ายค้านบางส่วนที่งดออกเสียงและไว้วางใจให้กับพลเอกประวิตร แม้จะขัดมติของพรรคก็ตาม เป็นเครื่องยืนยันว่าบารมีหลวงพ่อป้อมยังคงยิ่งใหญ่คับสภาฯ
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ดูภาพใหญ่แต่ละพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลจะยังสามัคคีกัน แต่หากเจาะไปที่ความเคลื่อนไหวรายพรรคแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้น
การแตกหักในพรรคต่างๆ เริ่มมีภาพที่ใหญ่และชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างในรายของพรรคพลังประชารัฐ จริงอยู่ที่บารมีของพลเอกประวิตรจะใหญ่คับสภาฯ แต่ด้วยความที่พลังประชารัฐเป็นบ้านหลังใหญ่ การที่จะให้ลูกพรรคแต่ละคนมีความคิด
สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันคงเป็นเรื่องที่ยากเกินควบคุม เพราะก็มีกระแสข่าวมาว่า รัฐมนตรีสุชาติ ชมกลิ่น ไม่ได้รับแรงหนุนจากบ้านอัศวเหม แห่งเมืองสมุทรปราการ ซึ่งในศึกอภิปราย ทั้งที่มาจากต้นสังกัดเดียวกัน ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งเรื่องการส่งผู้สมัครจังหวัดสมุทรปราการ พื้นที่ของบ้านอัศวเหม เมื่อปี 2562 หรือไม่? อีกทั้งว่ากันว่าความสัมพันธ์ระหว่างบ้านใหญ่เมืองชลคุณปลื้ม ยังมีความสนิทชิดเชื้อกับบ้านอัศวเหมเป็นพิเศษ แต่นั่นก็เป็นเพียงความขัดแย้งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
คงไม่มีใครคาดคิดว่าบิ๊กป๊อก-พลเอกอนุพงษ์ จะถูกคนในพรรคพลังประชารัฐโหวตล้ม อาจเพราะด้วยความใกล้ชิด
และด้วยความที่เป็นหนึ่งในพี่น้องกลุ่ม 3 ป. งานนี้ขอบอกว่าไม่ธรรมดา เพราะการลูบคมบิ๊กป๊อก ย่อมสะเทือนไปถึงบิ๊กป้อม และกลุ่มที่โหวตล้มก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นกลุ่ม สส. ซุ้มสมุทรปราการเจ้าเก่าเจ้าเดิม
โดยที่มีข่าวอ้างว่าต้องการให้มีการปรับเก้าอี้เจ้ากระทรวงมหาดไทย โดยสนับสนุนให้พลเอกประวิตรนั่งแท่น จึงเป็นที่มาของการกราบสะเทือนพสุธาของหนึ่งใน สส. สมุทรปราการ ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีการเคลียร์ใจกันในที่สุด แต่จะจบลงอย่างไร ? และมีบทลงโทษใดตามมาคงต้องดูกัน ?
แต่ที่แน่ๆ รอยร้าวภายในพรรคพลังประชารัฐเริ่มลึกและเริ่มชัดขึ้น เช่นเดียวกับพรรคประชาธิปัตย์ ที่แม้ว่าจะผ่านศึกอภิปรายมาได้ แต่กระแสข่าวข้างในพรรคก็ต้องทำให้บรรดาแม่ยกใจตุ๊มๆ ต่อมๆ กันบ้าง ทั้งการที่นายจุรินทร์ ได้รับคะแนนความไว้วางใจในภาพรวมต่ำที่สุด ทั้งที่เป็นหัวหน้าพรรค รับผิดชอบกระทรวงใหญ่อย่างกระทรวงพาณิชย์ แต่ผลคะแนนที่ออกมากลับไม่ได้เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ แต่จะจุดชนวนไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของพรรคตามที่มีกระแสข่าวหรือไม่นั้น
สิ่งที่สะท้อนผ่านเสียงโหวตในสภา ฯ ในรอบนี้ผลคะแนนที่ได้ออกมาทั้งหมดอาจไม่ได้สื่อความหมายไปถึงความไม่ไว้วางใจในการทำงาน แต่อาจเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความรู้สึกและทัศนคติส่วนตัวของผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนมากกว่าหรือไม่ ? เพราะพรรคฝ่ายค้านบางคนก็มีท่าทีในการโหวตที่ดูมีทิศทางที่เป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลมากกว่ารวมถึงพรรคฝ่ายรัฐบาลอย่างพรรคเศรษฐกิจไทย ที่ก็มีการโหวตไม่ไว้วางใจ คว่ำรัฐมนตรีบางท่าน แต่ก็คว่ำไม่เหมือนกัน และก็มี สส. จากพรรคเศรษฐกิจไทยอีก 4 ท่าน ที่โหวตไว้วางใจพลเอกประยุทธ์ ซึ่งไม่เป็นไปตามท่าทีแต่แรกเริ่มของพรรคที่ได้ตั้งใจไว้
จากปัญหาหลังบ้านที่พรรคการเมืองแต่ละพรรคกำลังเผชิญอยู่ ดูเหมือนจะยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเข้าใกล้ช่วงเลือกตั้งมากขึ้นเท่าไหร่ ความขัดแย้งภายในพรรคก็ยิ่งมากขึ้น ทั้งหลังบ้านของแต่ละพรรคที่ยังไม่นิ่ง ยิ่งสะท้อนให้เห็นโอกาสของตลาดสส.ที่ยังไปไม่สุดและยังฉุดไม่อยู่อีกหลายระลอก
รวมถึงพรรคเล็กที่แต่เดิมส่วนใหญ่อยู่ซีกทางฝ่ายรัฐบาลก็เริ่มที่จะไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเท่าไหร่ แม้ในตอนนี้โอกาสที่สูตรคำนวณบัญชีรายชื่อมีโอกาสเข้าทางพรรคเล็กอีกครั้ง แต่นั่นก็เป็นหนึ่งในตัวแปรที่ไม่แน่นอน เมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่แน่ว่าเราอาจได้เห็นผู้นำพรรคเล็กบางพรรคเก็บกระเป๋าย้ายเข้าบ้านหลังใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิมหรือไม่ ?
ผลของการอภิปรายที่ผ่านมา จะเป็นตัวกำหนดทิศทาง ของพรรคการเมืองแต่ละพรรค นักการเมืองแต่ละคน ว่า
จะมีแนวโน้มไปในทิศทางใดต่อ แต่ผลการอภิปรายเมื่อออกมาเป็นเช่นนี้ก็ถือว่า ทำให้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ก็น่าจะได้อยู่จนครบวาระ หรืออย่างน้อยที่สุดก็น่าจะอยู่ได้จนถึงช่วงการประชุมเอเปกเสร็จสิ้น อย่างที่เคยประกาศไว้ แต่นั่นก็คนละประเด็นกับการจุดพลุตลาดสส.ที่ตอนนี้ฝุ่นตลบ กว่าเรื่องกติกาเลือกตั้ง
เสียอีก?
“ที่ความแค้นริษยานำพามาได้ มีแต่ทุกข์ทรมาน พินาศย่อยยับเท่านั้น ดังนั้น ท่านโปรดละทิ้ง ลืมเลือนความแค้นและริษยา มาให้ความรักที่บริสุทธิ์จริงใจต่อกัน ซึ่งย่อมนำพาความสุขแก่ท่านชั่วนิจนิรันดร์”
โกวเล้ง จาก ราศีดอกท้อ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี