10 สิงหาคม 2565 เป็นวันประชุมสภาเพื่อพิจารณากฎหมายลูกตามรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขว่าด้วยวิธีคำนวณ สส.ที่พึงได้จากการเลือกตั้งบัตรสองใบว่า จะเป็นหาร 100 หรือหาร 500 การประชุมสภาครั้งนี้ จะเป็นการชี้ชะตาว่าพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นนายกฯต่อไปสมัยหน้า หรือหยุดแค่หมดวาระสภาชุดนี้
หากจะให้ทำนายก็บอกได้จากประสบการณ์ว่า 10 ส.ค. สภาจะล่มอีก เป็นการล่มครั้งที่เท่าไหร่แล้วจำไม่ได้และสภาล่มครั้งนี้ มันเป็นความตั้งใจของผู้ยิ่งใหญ่ในพรรคแกนนำรัฐบาล ประสานงานกับคนแดนไกลที่ทำให้การหาร 500 ตกไปเพื่อให้พี่ใหญ่เอาชนะพลเอกประยุทธ์ สักครา และเอาหาร 100 คืนมาเพื่อสนองตัณหาของคนแดนไกลที่โรคแลนด์สไลด์ ขึ้นสมอง
ดังนั้นวันที่ 10 ส.ค.จะเป็นวันชี้ชะตาของพลเอกประยุทธ์ว่าจะไปต่อหรือไม่ หากสภาลงมติว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปวิธีคำนวณ สส.พึงได้หารด้วย 500 หมายความว่าพลเอกประยุทธ์ เอาชนะพี่ใหญ่ แต่หากรัฐสภามีมติว่าเลือกสมัยหน้าการคำนวณ สส.บัญชีรายชื่อต้องหารด้วย 100 ก็พูดได้เต็มปากว่าหลังเลือกตั้งสมัยหน้า ลุงตู่ จะพูดว่า “ผมพอแล้ว”
หากฟังจากโทนเสียงของแกนนำพรรคการเมืองใหญ่สองพรรค ที่มีจุดยืนอยู่กันคนละฝ่าย แต่อาจร่วมมือกันได้คือ พรรคพลังประชารัฐและพรรคเพื่อไทย สมคบกันเป็นไปได้สูงมากว่า วันที่ 10 สิงหาคม สภาจะล่มอีกเช่นเคย คือ สส.พปชร.กับสส.พท.ส่วนใหญ่ไม่มาร่วมประชุม
สภาล่มหลายครั้งที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยยอมรับว่าไม่แสดงตนประชุมสภาเพราะตั้งใจขัดขวางไม่ให้พลเอกประยุทธ์ เป็นนายกฯต่อไป แต่การร่วมมือกันทำให้สภาล่มเมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่าน นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน ออกมายืนยันอย่างหน้าชื่นตาบานว่าสส.เพื่อไทยยอมให้สภาล่มดีกว่าให้เผด็จการสืบทอดอำนาจโดยการถ่วงเวลาทำให้กฎหมายว่าด้วยการนับคะแนน สส.พึงได้หารด้วย500 ตกไป
นายสุทินพูดเสริมด้วยว่าตอนแรกเรามีมติกันในพรรคเพื่อไทยว่าไม่แสดงตัวเข้าร่วมประชุม แต่ภายหลังพรรคอื่นเห็นด้วยกับเราไม่เข้าประชุมด้วยนั้น เป็นวิธีการของสภาที่สามารถทำได้
พรรคอื่นที่นายสุทิน พูดถึงว่าเห็นด้วยกับเราคือพรรคพลังประชารัฐซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลที่มี พลเอกประวิตร เป็นหัวหน้า
นายแพทย์ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่และเป็นแกนนำคนสำคัญที่ต่อสู้ให้การคำนวณ สส.ที่พึงได้ตามการแก้รัฐธรรมใหม่ให้ สส.บัญชีรายชื่อหารด้วย 500 ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่าสองพรรคใหญ่สมคบกันทำให้สภาล่มเพื่อถ่วงเวลาไม่ให้กฎหมายลูกผ่านสภาตามกำหนด 180 คือวันที่ 15 สิงหาคมนี้
สส.บางคนของพรรคใหญ่ยังนั่งอยู่ในห้องประชุม แต่เมื่อมีคนไปบอกว่าผู้ใหญ่สั่งให้ออกจากห้องประชุม ผู้ใหญ่สั่งให้พวกเขากลับบ้าน พวกเขาก็ต้องจำใจร่วมมือกันทำให้สภาล่ม
ฟังจากคำพูดของหมอระวี ผู้เขียนยังสองจิตสองใจว่า เป็นไปได้อย่างไร คนวัยชราจะหน้ามืดตามัว เพราะความทะเยอทะยานอยากเป็นใหญ่ตามคำยุงยงของใครต่อใครที่คิดทำลายระบอบสภา และหักหน้าพลเอกประยุทธ์ได้ถึงเพียงนี้ แต่มาปักใจเชื่อว่ามันเป็นดังคำร่ำลือจริง เมื่อได้ฟังคำสัมภาษณ์ของนายนิโรธ สุนทรเลขา สส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ในฐานะประธานกรรมการในคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร(วิปรัฐบาล)
นายนิโรธ ในฐานะประธานวิปรัฐบาล ให้สัมภาษณ์ถึงแนวโน้มการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าการเลือกตั้ง สส. ในเรื่องของทิศทางสภา จะใช้สูตรหาร 500 หรือ100 และจะพิจารณากฎหมายดังกล่าวทันหรือไม่ว่า พปชร.ไม่เกี่ยงงอนจะใช้ 100 หรือ 500 ก็ว่ากันไป...
“เมื่อนัดประชุมวันที่ 10 ส.ค.ก็วันที่ 10 ส.ค.แต่เกรงว่าวันที่ 10 ส.ค.เป็นวันผู้ใหญ่บ้านกำนัน ได้ท้วงติงไปในที่ประชุมวิป 3 ฝ่ายว่าน่าจะเป็นวันอื่นก็ได้ เพราะวันที่10 ส.ค.เป็นวันสำคัญ ผู้สื่อข่าวถามว่ามั่นใจหรือไม่ว่าสส.พปชร.จะเข้าประชุมในวันที่ 10 ส.ค.อย่างพร้อมเพรียงนายนิโรธ กล่าวว่า
...“ทุกคนรู้ว่ามีประชุม แต่ต้องเข้าใจว่า เป็นวันผู้ใหญ่บ้านกำนัน ถึงแม้จะไม่มีเหตุผลอะไร ไม่มีข้อบังคับอะไร บอกให้หยุด แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงวันที่ 10 ส.ค.ให้สส.ได้ เป็นวันสำคัญ วันราชสีห์ จะไม่ให้เขาไปร่วมได้อย่างไร จัดงานตั้งแต่เช้าถึงเย็นแต่ละอำเภอก็ต่างวาระกันไป ทุกอำเภอตอนเช้าก็ต้องทำบุญ ทำกิจกรรมกันและจะไม่เอื้อให้สส.เขตไปร่วมกิจกรรมกับเขาเลยหรือ...
“เขาต้องรักษาฐานเสียงเขา จะมัวแต่มาห่วง 500,100 หรือ ปาร์ตี้ลิสต์ อย่างเดียวไม่ได้ กฎหมายเป็นกฎหมายเราเข้าใจ จะเลื่อนตั้งแต่แรกก็ไม่ให้เลื่อน จะขอปิดเพื่อไม่ให้เอากฎหมายปรับเป็นพินัยเข้าที่ประชุม จะได้ไม่
ค้างคา เพราะวันรุ่งขึ้นจะได้นำกฎหมายลูกเกี่ยวกับการเลือกตั้งขึ้นมาพิจารณา พอจะเสนอปิดก็ว่าเกินตามระเบียบวาระ พอผ่านการพิจารณากฎหมายไปมาตราเดียว ก็ไม่เป็นองค์ประชุมกันแล้ว เช่นนี้จะมาว่าพปชร.เล่นเกมนั้นไม่ถูก ไม่เป็นธรรม ถึงวันนี้อะไรจะเกิด ก็ว่ากันไป” นายนิโรธ กล่าว
คำพูดของนายนิโรธเป็นการส่งสัญญาณว่าสส.พปชร.ไม่ควรมาประชุม และนายนิโรธจะพูดอย่างนี้ไม่ได้หากไม่มีผู้ใหญ่สั่ง
ได้ยินคำร่ำลือมานานแล้วว่ามีผู้ใหญ่ใน พปชร.แอบติดต่อสมคบกับคนแดนไกลมาตั้งแต่สมัยนายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ที่ผู้ใหญ่วัยชรา ตีสองหน้าเล่นเกมใต้ดิน บนดิน เป็นอาจิณ แล้วใช้คำพูดเหมือนคนไม่มีสติปัญญาว่า ไม่รู้ ไม่เห็น
ในรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ ผู้ใหญ่คนนี้ ก็เล่นเกมใต้ดินบนดินตีสองหน้าว่าไม่รู้ไม่เห็นเช่นในกรณีน.ส.ยิ่งลักษณ์
ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หนีออกนอกประเทศ เมื่อวันที่ 23 ส.ค.2560 มีคำร่ำลือว่าคนแดนไกลประสานงานกับผู้ยิ่งใหญ่ให้พาน้องสาวเดินทางออกนอกประเทศให้ได้อย่างปลอดภัยแล้วอนาคตผู้ยิ่งใหญ่จะรุ่งโรจน์
ผู้เขียนไม่รู้ว่าผู้ยิ่งใหญ่ที่ว่าเป็นใครแต่หากไม่ใหญ่จริง คงไม่ออกคำสั่งให้นายตำรวจระดับรองผู้กำกับขับรถไปส่งน.ส.ยิ่งลักษณ์ ถึงด่านชายแดนไทยกัมพูชาและ ในเส้นทางสองร้อยกว่ากิโลเมตรซึ่งมีด่านตรวจความมั่นคงอยู่ตลอดทาง
หากไม่มีผู้ใหญ่สั่งจะผ่านด่านเหล่านั้นไปได้อย่างไร
ผู้ใหญ่ที่เลี้ยงลูกเสือลูกตะเข้ไว้แว้งกัดน้องรักได้ตลอดเวลา ผู้ยิ่งใหญ่ที่เอามาเฟียฆาตกรมาเป็นเลขาฯมาใช้ให้แทงข้างหลังน้องรัก จนผู้ที่ถือว่าเป็นน้องต้องอัปเปหิ ลูกเสือลูกตะเข้ออกไปจากไปแต่ก็ไม่วายผู้ยิ่งใหญ่ตามเลี้ยงดู และกลายเป็นว่าทำให้ผู้ยิ่งใหญ่ตีสองหน้าได้ง่ายขึ้นโดยใช้มาเฟียที่คนแดนไกลเคยใช้ให้เป็นผู้ติดต่อประสานทำลายรัฐบาลและระบบรัฐสภา ร่วมกับพรรคของคนแดนไกลได้สะดวกขึ้น
ดังที่อดีตเลขาฯคู่ใจ เคยพูดไว้ว่า“เชื่อมั่นในศักยภาพของหัวหน้าพรรคที่สามารถใช้คนทำงานบนดินใต้ดิน
ได้หลายคน”
เมื่อนายนิโรธซึ่งเป็นผู้ประสานวิปรัฐบาลกับฝ่ายค้าน นายนิโรธกลับให้ความสำคัญกับวันกำนันผู้ใหญ่บ้าน มากกว่าความสำคัญของการประชุมสภาที่พิจารณาว่าจะให้หาญฯสส.พึงได้จากหาร 500 เป็นหาร 100 หรือไม่ จึงอดสงสัยไม่ได้ว่า นายนิโรธเป็นหนึ่งในจำนวนหลายคนที่ถูกหัวหน้าใช้ให้ทำงาน#บนดินใต้ดินหรือไม่
เพราะคำพูดของนิโรธบังเอิญ ไปตรงกับคำปราศรัยของหัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทย ที่เรียกร้องทุกฝ่าย
ร่วมมือกัน หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย พูดในระหว่างการปราศรัยหาเสียงที่จังหวัดเชียงราย ว่า
“คุณพ่อตั้งใจว่าถ้าได้มีโอกาสกลับมาเมืองไทย อยากให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน #มีอะไรร่วมมือกันไม่ขัดแย้งกัน เพราะพี่น้องกำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจ สิ่งที่ตั้งใจให้เกิดขึ้นคือ ให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า ให้พี่น้องพ้นจากความทุกข์ยาก”
ความร่วมมือในที่นี้ จะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากเพื่อไทยร่วมมือกับพลังประชารัฐโดยไม่เข้าร่วมประชุมวันที่ 10 สิงหาคม เพื่อทำให้กฎหมายที่สภามีมติก่อนหน้าว่าเป็นหาร 500ไม่เสร็จสิ้นในสภาตามกำหนดเวลา 180 วัน เพื่อจะได้นำกฎหมายที่คณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอต่อรัฐบาลก่อนหน้าว่าคำนวณ สส. ปาร์ตี้ลิสต์ 100 คนให้คำนวณจากคะแนนที่เลือกปาร์ตี้ลิสต์ทั้งประเทศมารวมกันแล้วหารด้วย 100 จะเป็น สส. ปาร์ตี้ลิสต์ ตามสัดส่วนที่แต่ละพรรคได้คะแนนจากเลือกตั้งมา
หาก สส.จากพรรคเพื่อไทยส่วนใหญ่ไม่เข้าร่วมประชุมวันที่ 10 ส.ค.และสส.พปชร.ไม่เข้าประชุมดังที่
นายนิโรธบอกว่า วันกำนันผู้ใหญ่บ้านสำคัญกว่า ก็เสร็จสมความมุ่งหมายดังที่หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยพูดว่า “คุณพ่อขอให้ร่วมมือกัน”
จึงได้พูดแต่ต้นว่า วันที่ 10 ส.ค. เป็นวันชี้ชะตาของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า จะไปต่อสมัยหน้า หลังจากหมดวาระสภาชุดนี้หรือไม่ แต่จากประสบการณ์ทำข่าวการเมืองมากว่าสี่ทศวรรษ ทำนายว่าเส้นทางการเมืองของพลเอกประยุทธ์สิ้นสุดลงแค่วาระสภาชุดนี้
อุปสรรคสำคัญที่ขัดขวาง พลเอกประยุทธ์ไม่ให้เดินหน้าต่อไป คือ พี่ใหญ่ทะเยอทะยานเกินไปและพี่ใหญ่เล่นเกมใต้ดินบนดินตลอดมา ประกอบเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญไม่อำนวยให้พลเอกประยุทธ์บริหารประเทศได้สะดวกอีกต่อไป
เงื่อนไขในรัฐธรรมนูญที่ว่าคือบทเฉพาะกาล 5 ปี ที่จะสิ้นสุดการบังคับใช้ไม่นานหลังจากเลือกตั้งสมัยหน้า(ถ้าอยู่ครบเทอม) พลเอกประยุทธ์ ถึงแม้ได้รับการเลือกตั้งจากสภาให้เป็นนายกรัฐมนตรี แต่หลังจากสภาชุดนี้ลุงตู่ไม่มีที่ให้พิงหลังได้
คือเมื่อหมดเวลาบังคับใช้บทเฉพาะกาล วุฒิสภาสมัยหน้า ต้องมาจากการเลือกตั้งและไม่มีอำนาจหน้าที่ร่วมเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีกับสส.เหมือน สว.แต่งตั้งชุดนี้ ที่สำคัญ สว.เลือกตั้งส่วนใหญ่จะอยู่ใต้อาณัติของธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ เหมือน สว.ปี 2544 ที่เรียกกันติดปากว่าสภาชินฯ
พปชร.ถึงจะยังเป็นที่พิงหลังให้ ลุงตู่ก็นับได้ว่าอยู่ในภาวะง่อนแง่นเต็มที ถึงจะมีพรรคสำรองตั้งขึ้นมาใหม่ก็ใช่ว่าจะได้สส.เป็นกอบเป็นกำ เพราะบรรดาอดีตสส.ที่แปรพักตร์เข้ามาร่วมกับพรรคสำรองที่ตั้งขึ้นมาใหม่ส่วนใหญ่เป็นอดีตสส. สอบตก และบางส่วนก็ติดปัญหาทางกฎหมายสมัคร สส.ไม่ได้อยู่หลายคน
จึงสรุปง่ายๆว่า 10 ส.ค.เป็นวันชี้ชะตาว่าหลังเลือกตั้งสมัยหน้า ลุงตู่จะพูดเหมือนป๋าว่า # ผมพอแล้ว
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี