ติดตามการประชุมร่วมรัฐสภาเมื่อวันที่ 10 สิงหาคมที่ผ่านมาได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในระบบรัฐสภาไทยคือเกมการเมืองถูกกำหนดผลแพ้ชนะโดยคนนอกสภาและ คนนอกที่ว่านั้นไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นสองผู้ยิ่งใหญ่ในพรรคแกนนำรัฐบาลผสมที่นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
เบื้องต้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดที่ว่าด้วยการแก้วิธีการเลือกตั้งให้เป็นสัดส่วนผสมคือมีบัตรเลือกตั้งสองใบ ใบหนึ่งเลือก สส.เขต อีกใบหนึ่ง สำหรับเลือกตั้ง สส.บัญชีรายชื่อหรือเลือกพรรคที่ชอบ
เมื่อเป็นระบบสัดส่วนผสมบัตรสองใบวิธีคำนวณ สส.พึงได้ต้องแตกต่างจากการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคม 2562 ที่ใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียวและ นำเอาคะแนนพรรคที่ได้รับเลือกตั้งจากทุกหน่วยเลือกตั้งทั่วประเทศมารวมกันแล้วหารด้วย 500 ตามจำนวน สส. 500 คนในสภา คือ คำนวณจากบัตรใบเดียวได้ทั้ง สส.เขตและสส.บัญชีรายชื่อ
การคำนวณ สส.ที่พึงได้ด้วยเอาคะแนนทั้งประเทศมารวมกันแล้วหารออกมาเป็นจำนวน สส. ที่แต่ละพรรคพึงได้ทำให้พรรคการเมืองเกิดขึ้นมากที่ลงรับสมัครเลือกตั้ง 87 พรรคมากที่สุดเท่ามีการเลือกตั้งประเทศไทยมา เพราะหลายพรรคเชื่อว่าหาคะแนนทั่วประเทศรวมกันให้ได้สักหกเจ็ดหมื่นคะแนนก็มีสิทธิ์ได้ สส.1คนแล้ว
และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะผลการเลือกตั้งปี 2562 ประเทศไทยได้ สส. เข้าสภาถึง 28 พรรค บางพรรคได้ สส.เขตเพียงคนเดียวแต่ได้สส. บัญชีรายชื่อเพิ่มมาสี่คน และอีก 16 พรรคได้ สส. บัญชีรายชื่อมาพรรคละ 1 คน ไม่มี สส.เขตเลือกตั้งเลย #แถมบางพรรคได้รับเลือกตั้งแค่สามหมื่นคะแนน ก็ได้เป็น สส. ปัดเศษเดินเข้าสภาอย่างสง่าผ่าเผยแล้ว
พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคใหญ่ตอนเลือกตั้งปี 2562 ได้รับเลือก 7,920,630 คะแนน แต่ได้เฉพาะ สส.จากเขตเลือกตั้งทั้งหมด 136 คน เมื่อคำนวณจากสส.ที่พึงมี
สส.เขตเต็มโควตาแล้ว พรรคเพื่อไทยเลยไม่ได้ สส.บัญชีรายชื่อแม้แต่คนเดียว
ส่วน พปชร.ตอนเลือกตั้งได้ สส.ชนะจากเขตเลือกตั้ง 79 คนแต่ได้คะแนนรวมทั้งประเทศ 8,433,137 คะแนน เมื่อมาคำนวณ สส.ที่พึงมีแล้ว พปชร.ได้ สส.บัญชีรายชื่อ 16 คนทำให้พปชร.ได้ สส.รวมกันเป็น 115 (สส.ที่พึงมีนับจากหลัง กกต.ประกาศผลไม่นับการผันแปรหรือได้เพิ่มหรือลดภายหลัง)
การเลือกตั้งแบบสัดส่วนบัตรใบเดียวเลย ทำให้พรรคขนาดใหญ่และพรรคขนาดกลางเห็นว่าฝ่ายตนเสียเปรียบและทำได้ สส.เบี้ยหัวแตกเข้าสภาเร่หากินกล้วยได้ง่าย
พรรคขนาดใหญ่และพรรคขนาดกลางจึงพร้อมใจกันเสนอแก้รัฐธรรมนูญในหมวดของการเลือกตั้งเป็นสัดส่วนผสม คือ บัตรเลือกตั้งสองใบแยกกันระหว่าง สส.จากเขตเลือกตั้งกับสส. บัญชีรายชื่อ
ในขั้นรับหลักการและ ในขั้นกรรมาธิการ ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านเห็นพ้องต้องกันว่าการคำนวณ สส.ที่พึงได้ต้องแยกออกจากกันคือสส.เขตเลือกตั้ง ผู้สมัครคนไหนได้คะแนนมากที่สุดในบรรดาผู้สมัครเขตไหน ก็ถือได้เป็น สส.เขตนั้นส่วน สส.บัญชีรายชื่อ ให้นำคะแนนที่แต่ละพรรคได้รับเลือกทั้ง 400 เขตมารวมกันแล้วหารด้วย 100 จะเป็นจำนวน สส. บัญชีรายชื่อที่แต่ละพรรคพึงได้
ในขั้นกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดเลือกตั้ง ทั้ง สส. สว.และประชาชนทั่วไปเข้าใจตรงกันว่า เมื่อเลือกตั้งบัตรสองใบ สส.บัญชีรายชื่อ ที่พึงได้ต้องหารด้วย 100 จนกระทั่งการแก้รัฐธรรมนูญวาระสองจะเข้าสภา ได้เกิดกระแสแลนด์สไลด์ขึ้นมา ด้วยเหตุว่า สัมภเวสีหนีคุก เจ้าของพรรคเพื่อไทยที่อยู่แดนไกล และไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในประเทศว่าพัฒนาไปถึงไหนแล้ว
สัมภเวสีหนีคุกยังคงละเมอเพ้อพกหลงใหลในความรุ่งโรจน์ในอดีต สร้างกระแสปลุกระดมในหมู่สมุนบริวารเพื่อสร้างราคาว่า พรรคเพื่อไทยต้องชนะเลือกแบบแลนด์สไลด์ เพราะบัตรเลือกตั้งสองใบและ การคำนวณ สส.แบบใหม่ ทำให้เพื่อไทย ได้เปรียบเต็มประตู
ฝ่ายผู้ยิ่งใหญ่ในพรรคแกนนำรัฐบาล ก็มีความเข้าใจเช่นนั้น เมื่อผู้ยิ่งใหญ่ในแกนนำรัฐบาลก็เชื่อว่าพรรคเพื่อไทย ต้องชนะแลนด์สไลด์และประกอบกับพรรคแกนนำรัฐบาลที่ผู้ยิ่งใหญ่ดูแลกำลังจะล่มสลาย เลยมีกระแสข่าวหนาหูว่าพปชร.มีข้อตกลงพิเศษกับเพื่อไทย จะผลักดันให้ผู้ยิ่งใหญ่ในพรรคแกนนำรัฐบาลขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งในทำเนียบอย่างน้อย ก็จนกว่าจะมีการเลือกตั้งสมัยหน้า
จากกระแสข่าวที่ดูมีน้ำหนักและหนาหูเรื่องข้อตกลงลับ ระหว่าง พท.กับพปชร.ทำให้แหล่งข่าวบอกว่าพลเอกประยุทธ์ขอให้พรรคร่วมรัฐบาลแก้วิธีการคำนวณ สส.ที่พึงมีเป็นหาร 500
เมื่อลุงตู่โต้กลับด้วยไม้นี้ ก็มีกระแสข่าวว่าเจ้าของพรรคเพื่อไทยเปลี่ยนเกมรุกใหม่โดยสร้างกระแสว่าพลเอกประยุทธ์ ต้องพ้นจากตำแหน่งภายในวันที่ 25 สิงหาคมนี้ เพราะรัฐธรรมนูญปี 2560 กำหนดให้นายกรัฐมนตรีอยู่ได้แค่แปดปี
สัมภเวสีหนีคุก ผู้เคยลืมถุงขนมไว้ที่ศาลรัฐธรรมนูญ หลอกผู้ยิ่งใหญ่ใน พปชร.ว่าตัวเองรู้ข้อมูลภายในว่าตุลาการศาลรัฐธรรมส่วนใหญ่มีมติว่า ความเป็นนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์สิ้นสุดแค่วันที่ 24 สิงหาคม 2565
การสร้างกระแสของสัมภเวสีหนีคุกว่ารู้ข้อมูลการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญล่วงหน้า แม้เด็กเลี้ยงควายก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นจริง เพราะสัมภเวสีหนีคุกเคยหลอกให้คนไปตายหลอกให้คนติดคุกมาแล้ว ไม่น้อยกว่าสองร้อยกว่ารายในห้วงเวลา 14 ปีที่ผ่านมา
แต่ประหลาดใจไหม ที่ผู้ยิ่งใหญ่ในพรรคแกนนำรัฐบาลซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเล่นการเมืองบนดินใต้ดิน กลับเชื่อคำลวงของสัมภเวสี หนีคุกจนหมดใจ ถึงขนาดให้ลูกน้องนายทหารมาเฟียที่คนแดนไกลเคยใช้งานให้ไปปล่อยข่าวในจังหวัดขอนแก่นและบางพื้นที่ในภาคอีสานว่าตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม ผู้ยิ่งใหญ่ใน พปชร.จะขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งในทำเนียบแทนลุงตู่
ถึงได้พาดหัวว่าการแก้รัฐธรรมนูญหาร 500 ถูกตีตกในสภา ถือเป็นชัยชนะของคนแพ้ คือ พลเอกประยุทธ์แพ้ ที่ไม่สามารถทำให้การนับคะแนน สส.หาร 100 ได้ในสภา แต่กลับเป็นผู้ชนะทางการเมืองและ ทางกฎหมาย เพราะเด็กเลี้ยงควายก็รู้ว่า กฎหมายบังคับใช้ให้โทษย้อนหลังไม่ได้
พลเอกประยุทธ์ ได้รับเลือกจากสภาผู้แทนราษฎรในสภาหลังจากการเลือกตั้งมีนาคม 2562 ส่วนรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ประกาศใช้เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560 โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลเอกประยุทธ์ มีนักกฎหมายอย่าง ดร.วิษณุ เครืองามกับศาสตราจารย์ ดร.สมภพ โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี อยู่ข้างกายเชื่อขนมกินได้ว่าไม่มีวันพลาด
ตั้งแต่ปี 2562 ถึงวันนี้พรรคฝ่ายค้านเล่นงานพลเอกประยุทธ์ โดยฟ้องศาลรัฐธรรมนูญมาแล้วถึงสามครั้ง แต่พลเอกประยุทธ์ผ่านอุปสรรคมาได้ทั้งสามครา
เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2562 สส.พรรคฝ่ายค้าน 7 พรรค ได้ยื่นหนังสือถึงนายชวน หลีกภัย เพื่อขอให้ยื่นเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้ตรวจสอบความเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่ามีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ เหตุเพราะเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ
เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2562 ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คนที่ 29 ไม่มีลักษณ์ต้องห้ามเป็นนายกฯเพราะ“ตำแหน่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ไม่ถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ”
ต่อมาปี 2563 พรรคฝ่ายค้าน ยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาว่านายกรัฐมนตรีขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ที่มีผลประโยชน์ขัดกันในการพักอาศัยอยู่ในบ้านพักราชการเมื่อผ่านการเกษียณไปแล้ว
เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2563 ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัย กรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อาศัยอยู่ในบ้านพักทหารทั้งที่เกษียณอายุราชการแล้ว เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ตามที่บัญญัติในรัฐธรรมนูญหรือไม่
สำหรับผลการพิจารณา ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่งและเกษียณราชการ ขณะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก และพักอาศัยในบ้านพักรับรองกองทัพบกตามระเบียบกองทัพบกว่าด้วยการเข้าพักอาศัยในบ้านพักรับรองกองทัพบก พ.ศ.2548
โดยข้อ 5 ระบุว่าผู้มีสิทธิเข้าพักต้องมีคุณสมบัติ 5.2 เป็นผู้บังคับบัญชาการชั้นสูง ทำคุณประโยชน์ให้กองทัพบกและประเทศชาติ และเคยดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารบก
นอกจากนั้น พรรคฝ่ายค้านส่งให้ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ว่าการที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 อันเป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ เป็นอันใช้บังคับมิได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 5 วรรคหนึ่ง และเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้ร้องเรียนหรือไม่
ล่าสุด ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติเอกฉันท์ ไม่รับคำร้องไว้พิจารณา เนื่องจากการถวายสัตย์ต่อพระมหากษัตริย์ดังกล่าว เป็นการกระทำทางการเมือง ในฐานะองค์กรตามรัฐธรรมนูญฝ่ายบริหารในความสัมพันธ์เฉพาะกับพระมหากษัตริย์ อันอยู่ในความหมายของการกระทำของรัฐบาล ตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่อาจรับคำร้องไว้ได้ และการถวายสัตย์ดังกล่าวไม่อยู่ในอำนาจการตรวจสอบขององค์กรตามรัฐธรรมนูญใด
จากสามคดีที่ผ่านมาเป็นสิ่งพิสูจน์ว่าพลเอกประยุทธ์ มีนักกฎหมายมือฉมัง สองคนอยู่ข้างกายจึงไม่มีทางที่จะพลาดเรื่องวาระตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแปดปี
ชัยชนะของพลเอกประยุทธ์ อีกประเด็น คือ ชนะทางการเมือง ลุงตู่รู้อยู่เต็มอกว่า พปชร.ใกล้ล่มสลาย ลุงตู่ไม่ต้องทำอะไรเพราะผู้ยิ่งใหญ่ในพปชร.ได้ฆ่าตัวตายทางการเมืองไปพร้อมๆ กับการล่มสลายของพปชร. เพราะไปติดกับเล่ห์กลการเมืองของสัมภเวสีหนีคุก
ส่วนลุงตู่มีพรรคการเมืองสำรองอยู่หลายพรรค หากคิดจะไปต่ออีกสมัย ลุงตู่มีความมั่นใจถึงขนาดสั่งให้หน่วยงานราชการต่างๆวางแผนหยุดราชการสามวัน ระหว่างที่
พลเอกประยุทธ์เป็นประธานประชุมเอเปกซึ่งประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ระหว่างวันที่ 16 ถึง 18 พฤศจิกายน ที่ให้หน่วยราชการวางแผนหยุดงาน เพราะผู้ที่มีหน้าที่สำคัญต้องปฏิบัติงานต่อไปในระหว่างการประชุมเอเปก
ในเมื่อผู้ยิ่งใหญ่ใน พปชร.เดินเกมใต้ดินได้ ทำไมนักเรียนเสธฯรุ่นน้องจึงเดินเกมใต้ดินด้วยไม่ได้ การเลือกตั้งซ่อมชุมพร สงขลา พิสูจน์มาแล้วว่าเรื่องเกมบนดินใต้ดินกินลุงตู่ไม่ลงเหมือนกัน
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี