การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน+คู่เจรจาในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ตั้งแต่วันที่3-5 สิงหาคม ผ่านไปได้อย่างเรียบง่าย โดยไม่มีเสียงคัดค้านโวยวายจากอเมริกา อาจเป็นเพราะว่ามีจีนและรัสเซียซึ่งเป็นมิตรผู้สนิทแนบแน่นกับเจ้าภาพกัมพูชาและสหภาพเมียนมา ศูนย์กลางของปัญหา ผู้แทนจากอเมริกาก็เลยเงียบเหมือนเป่าสาก
นิสัยถาวรของนายแอนโทนี่ บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ เข้าร่วมประชุมระดับนานาชาติที่ไหนมักจะกร่างโวยวาย ยกเรื่องสิทธิมนุษยชนและเสรีประชาธิปไตยบังหน้าด่ากราดประเทศอื่นๆ ที่ไม่ยืนอยู่ข้างอเมริกาในสถานการณ์ร้อนของโลก ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตการเมืองในเมียนมาหรือ สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน
เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ขณะที่จาการ์ตา จัดประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศเพื่อเตรียมการประชุมสุดยอดผู้นำ จี20 ซึ่งจะมีขึ้นปลายปีนี้ ทันทีที่เปิดการประชุมและนายบลิงเคนเผชิญหน้ากับรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียเซอร์เก ลาฟรอฟ
นายบลิงเคน เปิดฉากด่ากราดรัสเซียว่ารุกรานยูเครนเป็นฆาตกรสงคราม เป็นเหตุให้ นายลาฟรอฟวอล์กเอาท์ออกจากที่ประชุมทันที
เจ้าภาพอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นลูกไล่อเมริกาหน้าเหวอ เมื่อที่ประชุมเกิดความวุ่นวายไปต่อไม่ได้แต่บังเอิญวันที่จาการ์ตา จัดประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ ได้เกิดเหตุลอบสังหารช็อกโลกในประเทศญี่ปุ่น นายชินโสะ อาเบะ อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ยิ่งใหญ่ถูกลอบสังหาร ทำให้บรรดารัฐมนตรีต่างประเทศ และ ผู้ที่เกี่ยวทั้งหลายหันไปทุ่มเทความสนใจถกกันเรื่องลอบสังหารอดีตนายกรัฐมนตรีคนสำคัญของญี่ปุ่น การประชุมเพื่อเตรียมการประชุมสุดยอดผู้นำ จี20 จึงผ่านไปได้อย่างทุลักทุเล
ในที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน+คู่เจรจาที่กัมพูชา ในฐานะประธานหมุนเวียนอาเซียนได้เชิญจีน รัสเซีย สหรัฐ ญี่ปุ่น เกาหลีเหนือและอื่นๆเข้าร่วมประชุมในฐานะคู่เจรจา การประชุมในกัมพูชามีขึ้นขณะที่สถานการณ์ในประเทศใกล้อาเซียน คือ ไต้หวันและสหภาพเมียนมา กำลังตึงเครียด
ที่เกาะไต้หวัน สถานการณ์ร้อนถึงจุดปรอทแตกเมื่อนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาคองเกรสสหรัฐ ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญอันดับสามของสหรัฐยั่วยุท้าทายปักกิ่งโดยการเยือนไต้หวัน
ในสหภาพเมียนมา เรือนจำอินเส่ง ในย่างกุ้งเพิ่งประหารชีวิตนักโทษการเมืองและนักกิจกรรมการเมือง 4 คน เพียงหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้าอาเซียนจัดประชุมฯ
ดังนั้นประเด็นร้อนที่ยกขึ้นมาพูดกันในที่ประชุมจึงเป็นเรื่องไต้หวันกับเรื่องเมียนมาและความสนใจของสื่อมวลชนส่วนใหญ่ จึงมุ่งไปที่ นายหวัง ยี่มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีต่างประเทศจีน กับนายลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ส่วน นายบลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ไม่มีใครให้ความสนใจ เหมือนไม่มีตัวตนอยู่ในกัมพูชา
รายงานจากกรุงพนมเปญ เปิดเผยว่าผู้สื่อข่าวต่างชาติจำนวนมากที่ไปรายงานข่าวการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 55และการประชุมที่เกี่ยวข้องที่กรุงพนมเปญ ต่างไปดักรอสัมภาษณ์ผู้แทนจากจีนอย่างล้นหลาม จนห้องจัดการประชุมแทบแตก หลังจากที่นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรในสภาคองเกรสสหรัฐเดินทางไปยังไต้หวัน
นายหวัง ยี่ ให้สัมภาษณ์ ระหว่างการร่วมประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาที่กรุงพนมเปญว่า
“นางเพโลซี เดินหน้าเยือนภูมิภาคไต้หวันของจีนอย่างโจ่งแจ้ง โดยไม่คำนึงถึงการคัดค้านอย่างหนักแน่นจากจีน”
นายหวัง ยี่ ระบุว่า “การกระทำดังกล่าวขัดหลักการจีนเดียวอย่างร้ายแรง ละเมิดอธิปไตยของจีนอย่างมุ่งร้าย และมีส่วนส่งเสริมการยั่วยุทางการเมืองอย่างชัดเจน ซึ่งปลุกเร้าความโกรธเคืองรุนแรงในหมู่ประชาชนจีน และการคัดค้านเป็นกว้างขวางจากประชาคมระหว่างประเทศ”
หวัง ยี่ มองว่า “นักการเมืองสหรัฐบ่อนทำลายสันติภาพ และการจุดประเด็นไต้หวันในอินโด-แปซิฟิก #เป็นเรื่องอันตราย และโง่เขลามาก #สหรัฐ ไม่ควรเพ้อฝันถึงการเล่นเกมทางภูมิรัฐศาสตร์ ขณะการแสวงหาสันติภาพ เสถียรภาพ การพัฒนา และความร่วมมือแบบ
ได้ประโยชน์ทุกฝ่าย เป็นความปรารถนาร่วมกันของประเทศในภูมิภาค”
รัฐมนตรีต่างประเทศจีน กล่าวเสริมว่า การนำประเด็นไต้หวันเข้าสู่ยุทธศาสตร์ระดับภูมิภาคของสหรัฐ ซึ่งทวีความตึงเครียด และกระตุ้นการปะทะถือเป็นการขัดขวางกระแสการพัฒนาในภูมิภาค และความคาดหวังของประชาชนในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งสิ่งนี้นับว่า “อันตรายและโง่เขลามาก”
ส่วน นายลาฟรอฟ ซึ่งแวะเยือนเมียนมาได้พบปะเจรจากับ พลเอกมิน อ่อง หล่าย ก่อนเดินทางมาร่วมประชุมในกัมพูชากล่าวแต่เพียงว่า ในฐานะตัวแทนของรัสเซีย นายลาฟรอฟ ระบุว่า รัสเซียสนับสนุนความพยายามของรัฐบาลทหารในการสร้างสันติภาพและเสถียรภาพให้แก่เมียนมาและอวยพรให้แผนการที่วางโรดแมปไว้เป็นไปได้ด้วยดี
สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้กล่าวกับรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่ไปเข้าเยี่ยมคารวะว่าอาเซียนอาจถูกบีบให้ต้องพิจารณาใช้แนวทางใหม่เพื่อจัดการกับวิกฤตในเมียนมา หากรัฐบาลทหารยังคงประหารชีวิตนักเคลื่อนไหวฝ่ายต่อต้านเพิ่มขึ้นอีก
“การดำเนินการตามฉันทามติ 5 ข้อ ยังไม่มีความก้าวหน้าอย่างที่ทุกคนปรารถนา แต่ก็มีความคืบหน้าบางอย่างโดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม อย่างไรก็ดี สถานการณ์ปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเลวร้ายยิ่งกว่าก่อนที่จะมีการทำข้อตกลงดังกล่าวขึ้น หลังจากการประหารชีวิตนักเคลื่อนไหว 4 ราย” สมเด็จฮุนเซน กล่าว
แถลงการณ์ของอาเซียนในประเด็นนางเพโลซีเยือนไต้หวัน ซึ่งเป็นชนวนของความตึงเครียดถึงจุดเดือดในภูมิภาค แถลงการณ์กล่าวแต่เพียงว่า “อาเซียนมีความกังวลต่อสถานการณ์ผกผันในประเทศใกล้บ้านกับอาเซียน อาเซียนขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายอดกลั้นยับยั้งชั่งใจให้ถึงที่สุดเพื่อยับยั้งความรุนแรงที่อาจปะทุขึ้นได้การประเมินสถานการณ์ผิดอาจนำไปสู่การปะทะ และกระทบกระเทือนไปทั่วภูมิภาค อาเซียนยึดมั่นในหลักการจีนเดียวตามมติของสหประชาชาติ..ฯลฯ
เป็นที่น่าสังเกตว่าแถลงการณ์ของอาเซียนไม่ได้เอ่ยถึงไต้หวันแม้แต่คำเดียว และในแถลงการณ์เรื่องเมียนมาก็กล่าวแต่เพียงว่า ฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียนมีความคืบหน้าบางประการเช่นการช่วยด้านสิทธิมนุษยชนแก่ชาวเมียนมาของอาเซียน และอาเซียนอาจเปลี่ยนวิธีการแก้ปัญหาวิกฤตเมียนมา#หากเมียนมายังคงประหารชีวิตนักโทษการเมืองอีก(หมายความว่าที่แล้วมาก็แล้วกันไปอย่าให้มีอีก)
ช็อตเด็ดของการแสดงท่าทีไม่พอใจอเมริกาของจีน คือ ในงานเลี้ยงกาลาดินเนอร์(งานเลี้ยงอาหารหรูในโอกาสพิเศษ) นายหวัง ยี่เดินเข้าห้องจัดงานผ่านกล้องถ่ายรูปของสื่อมวลชนนับร้อยคน เมื่อเข้าไปถึงในงานที่มีนายบลิงเคนนั่งอยู่ในโต๊ะอาหารก่อนหน้า นายหวัง ยี่ เดินกลับออกมาราวกับแสดงว่าไม่ต้องการร่วมงานที่มีผู้แทนจากวอชิงตันและรังเกียจที่ร่วมทานอาหารด้วย ท่ามกลางความงุนงงของสื่อมวลชน ที่หวังจะได้ภาพตอน นายหวังเผชิญหน้ากับนายบลิงเคน
นายบลิงเคน ผู้คุ้นเคยกับการเป็นดาวเด่นเป็นตัวเอก ไม่ว่าเขาจะปรากฏตัวที่ไหนแต่ในประเทศกัมพูชาที่หมีขาวและมังกร มีอิทธิพลอยู่ในดินแดนนี้ ทำให้อินทรีหัวเน่าอับเฉาลงได้คล้ายหมาหลง
สุทิน วรรณบวร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี