ปมวาระดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่เกิน 8 ปี ตามรัฐธรรมนูญปัจจุบัน กำลังถูกนำมาสู่การ “ล้มประยุทธ์” ของฝ่ายที่ไม่ต้องการให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป
ไม่ต้องการให้พลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ ช่วงที่ไทยเป็นเจ้าเจ้าภาพเอเปคที่กำลังจะมาถึง?
ไม่ต้องการแข่งขันกับพลเอกประยุทธ์ในการเลือกตั้งใหญ่ครั้งที่จะมาถึง?
นั่นเพราะไม่มีหลักฐานทุจริตอันใดที่จะเอาผิดตัวพลเอกประยุทธ์ได้เหมือนอดีตนายกฯ บางคน จึงต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดพลเอกประยุทธ์ออกไปให้พ้นเส้นทางกลับสู่อำนาจของคนบางตระกูล ทั้งยังมีนักการเมืองคนอื่นๆ ที่ต้องการช่วงชิงแข่งขันเป็นนายกรัฐมนตรีอีกเหมือนกัน
1. ข้อที่นำมาอ้างว่า การนับวาระ 8 ปี จะต้องรวมเอาช่วงที่พลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ จากการเลือกโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติด้วยนั้น คือ การอ้าง มาตรา 264 ที่ถูกบัญญัติไว้ในส่วนของบทเฉพาะกาล
ระบุว่า ให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เป็นคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญนี้จะเข้ารับหน้าที่ และให้นำความในมาตรา 263 วรรคสาม มาใช้บังคับแก่การดำรง
ตำแหน่งรัฐมนตรีด้วยโดยอนุโลม
ความมุ่งหมายของมาตรานี้ ระบุว่า กำหนดให้คณะรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ เพื่อความต่อเนื่องในการบริหารราชการแผ่นดิน โดยต้องมีคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามตามบทหลักของรัฐธรรมนูญ ยกเว้นลักษณะต้องห้ามบางประการอันเป็นกรณีที่ใช้บังคับ แก่คณะรัฐมนตรีซึ่งมีที่มาตามรัฐธรรมนูญนี้เป็นการเฉพาะ
คำอธิบายประกอบ ระบุตอนหนึ่งว่า มาตรานี้บัญญัติขึ้นเพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินของฝ่ายบริหารเป็นไปโดยต่อเนื่อง โดยที่ ครม.ที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้ รธน.นี้มีที่มาแตกต่างจาก ครม.ตามบทหลัก โดยเป็นผู้มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 20 ของ รธน.(ฉบับชั่วคราว) ปี 2557 การให้ ครม.ชุดดังกล่าวเป็น ครม.ตามรัฐธรรมนูญนี้ จึงต้องยกเว้นไม่นำคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามบางประการที่กำหนดไว้สำหรับรัฐมนตรีในบทหลักมาใช้บังคับแก่รัฐมนตรีในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ด้วย
นี่คือคำอธิบายถึงความมุ่งหมายของมาตราที่ถูกนำมาอ้างอิงประกอบข้างต้น
ปรากฏในเอกสารชื่อ 'ความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560' ที่จัดทำขึ้นโดย กรธ.
ไม่มีเรื่องว่า จะต้องนับรวมการดำรงตำแหน่งนายกฯในวันก่อนประกาศใช้รัฐธรรมนูญเข้ากับวาระ 8 ปี เลยแม้แต่ตัวอักษรเดียว!
2. ส่วนที่มีการนำ “บันทึกการประชุม” ของคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ครั้งที่ 500 ลงวันที่ 7 ก.ย.2561 ซึ่งปรากฏบทสนทนาบางช่วงตอน ระหว่าง นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. กับ นายสุพจน์ ไข่มุกด์ รองประธาน กรธ.คนที่ 1 ให้ความคิดเห็นทำนองว่า ควรนับรวมระยะเวลาการดำรงตำแหน่งครอบคลุมถึงก่อนการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ (รธน.) ปี 2560 ด้วยนั้น
มิใช่ “มติ กรธ.” และมิได้ปรากฏอยู่ในรายงาน “ความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราฯ” อย่างเป็นทางการแต่อย่างใด
ในความเป็นจริง กรธ.ประชุมกันมากกว่า ยิ่สิบคน คุยกันหลายครั้ง มีความเห็นส่วนตัวแตกต่างกันเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่ถือเป็นข้อสรุปของ กรธ. คือ มติ กรธ. และรายงานฉบับที่เป็นทางการ
ล่าสุด นายสุพจน์ ไข่มุกต์ อดีตรองประธาน กรธ. ชี้แจงด้วยตนเองว่า บันทึกการประชุมดังกล่าว เป็นเพียงความเห็นเริ่มแรกของคนไม่กี่คน ซึ่งไม่ได้ถือว่าเป็นมติ กรธ. และหากตีความหลักนิติศาสตร์ กระบวนการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรี ได้กำหนดขั้นตอนสำคัญอยู่ในมาตรา 158 , มาตรา 159 และ มาตรา 264 ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ อาจนับวาระ 8 ปีนับตั้งแต่วันที่โปรดเกล้าฯ หลัง รธน.ปี 2560 บังคับใช้ แต่ขอให้ไปฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจึงจะถูกต้องที่สุด
3. ในความเป็นจริง หลักการจะให้นับ 8 ปี โดยนับรวมย้อนหลังเอาช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ ก่อนหน้าจะบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันด้วยแล้ว ย่อมเป็นเรื่องไม่เป็นธรรม และพิลึกพิลั่น
มิเช่นนั้น อดีตนายกฯ ทุกคน ก็คงถูกนำช่วงเวลาที่เคยเป็นนายกฯ มานับรวมด้วยเหมือนกัน เช่น อดีตนายกฯ ชวน อดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ อดีตนายกฯ สมชาย อดีตนายกฯทักษิณ อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ฯลฯ
โดยหลักการแล้ว ข้อกำหนดในรัฐธรรมนูญ 60 จะไปบังคับให้เป็นโทษเอากับรัฐมนตรี หรือนายกรัฐมนตรี ที่อยู่ในตำแหน่งก่อนรัฐธรรมนูญ 2560 จะเป็นธรรมได้อย่างไร?
ส่วนเมื่อมีรัฐธรรมนูญ 60 ใช้บังคับแล้ว การดำรงตำแหน่งของรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรี จึงต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขและข้อบังคับตามรัฐธรรมนูญ จึงนับว่าถูกต้อง
4. ในเอกสาร 'ความมุ่งหมายและคำอธิบายประกอบรายมาตราของรัฐธรรมนูญฯ' ในส่วนของมาตรา 158 ก็ระบุไว้แต่เพียงว่า
ความมุ่งหมายของมาตรานี้ ระบุว่า บัญญัติพระราชอำนาจในการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี และวาระการดำรงตำแหน่งของนายกรัฐมนตรี
คำอธิบายประกอบ ระบุตอนหนึ่งว่า รธน.ปี 2560 ได้วางหลักการใหม่ในการแต่งตั้งบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา 159 โดยกำหนดหลักการให้พรรคการเมืองต้องเปิดเผยรายชื่อบุคคลซึ่งพรรคการเมืองมีมติว่า จะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น โดยให้ประชาชนได้รับทราบล่วงหน้าว่าบุคคลที่พรรคการเมืองจะเสนอให้เป็นนายกรัฐมนตรีคือบุคคลใด
“นอกจากนี้ ได้กำหนดหลักการใหม่เกี่ยวกับการนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการนับระยะเวลา กล่าวคือ การนับระยะเวลา 8 ปีนั้น แม้บุคคลดังกล่าวจะมิได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีติดต่อกันก็ตาม แต่หากรวมระยะเวลาทั้งหมดที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของบุคคลดังกล่าวแล้วเกิน 8 ปี ก็ต้องห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่อย่างไรก็ตาม ได้กำหนดข้อยกเว้นไว้ว่าการนับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในระหว่างรักษาการภายหลังจากพ้นจากตำแหน่ง จะไม่นำมานับรวมกับระยะเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว การกำหนดระยะเวลา 8 ปีไว้ ก็เพื่อมิให้เกิดการผูกขาดอำนาจทางการเมืองยาวเกินไปอันจะเป็นต้นเหตุเกิดวิกฤติทางการเมืองได้”
จะเห็นว่า ในรายงานฯ ไม่ได้ระบุเลยว่า ต้องนับรวมระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกฯ ก่อนมีรัฐธรรมนูญ 60
5. คำอธิบายที่ชัดเจน ปรากฏตามที่ท่านชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา โพสต์เรื่องการตีความการนับการดำรงตำแหน่งนายกฯ ระบุว่า
“รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปัจจุบัน
มาตรา ๑๕๘ พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกินสามสิบห้าคน ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินตามหลักความรับผิดชอบร่วมกัน
.....นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากบุคคลซึ่งสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๕๙
.....ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี
.....นายกรัฐมนตรีจะดํารงตําแหน่งรวมกันแล้วเกินแปดปีมิได้ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการดํารงตําแหน่งติดต่อกันหรือไม่ แต่มิให้นับรวมระยะเวลาในระหว่างที่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปหลังพ้นจากตําแหน่ง
บทบัญญัติในมาตรา ๑๕๘ วรรคสี่ ที่ว่า นายกรัฐมนตรีจะดํารงตําแหน่งรวมกันแล้วเกินแปดปีมิได้นั้น ต้องเป็นนายกรัฐมนตรีตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๕๘ วรรคสอง ที่ว่า นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากบุคคลซึ่งสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๕๙
มาตรา ๑๕๙ ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้ง เป็นนายกรัฐมนตรีจากบุคคลซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๑๖๐ และเป็นผู้มีชื่ออยู่ ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ตามมาตรา ๘๘ เฉพาะจากบัญชีรายชื่อของพรรค การเมืองที่มีสมาชิก ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าร้อยละห้าของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร
....การเสนอชื่อตามวรรคหนึ่งต้องมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร
.....มติของสภาผู้แทนราษฎรที่เห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องกระทําโดยการลงคะแนนโดยเปิดเผย และมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจํานวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๕๘ วรรคสอง โดยมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๒ คิดถึงปัจจุบันเป็นเวลาเพียง ๓ ปี ๑ เดือน ๖ วันเท่านั้น
.....การเป็นนายกรัฐมนตรีของพลเอกประยุทธ์ก่อนวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๒ มิได้เป็นนายกรัฐมนตรีตามมาตรา ๑๕๘ วรรคสอง จึงนำเวลามารวมกันตามมาตรา ๑๕๘ วรรคสี่ ไม่ได้
.....การอ่านและตีความกฎหมายในกรณีที่มีหลายวรรคนั้น ต้องพิจารณาประกอบกันทุกวรรค มิใช่นำมาพิจารณาใช้เพียงวรรคเดียวโดยมิได้นำวรรคอื่นมาพิจารณาประกอบด้วย “
สันติสุข มะโรงศรี
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี