วันเสาร์ ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
เมื่อวันที่ 8 กันยายน ที่ผ่านมานี้ ก็เป็นวันที่คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้จัดให้มีการประชุมนัดพิเศษ เพื่อพิจารณาเรื่องวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า ระยะเวลา 8 ปีนั้น จะสิ้นสุดลงเมื่อใด โดยเป็นการประชุมที่เกิดขึ้นภายหลังจากคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำชี้แจงจาก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี นายมีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธาน คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 และ นายปกรณ์ นิลประพันธ์ อดีตเลขานุการคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฯ ปี 2560 ครบถ้วนแล้ว ทั้ง 3 ราย เพื่อใช้ในการประกอบการพิจารณาเรื่องดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะมีข้อยุติภายในเดือนกันยายนนี้อย่างแน่นอน
แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในสังคม ที่มักจะใช้คำว่าประชาธิปไตย ที่ขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายไหนจะได้ประโยชน์จากการแอบอ้างใช้คำคำนี้ ก็คือเรื่องของการปั่นกระแสโดยใช้สื่อทุกรูปแบบ ของผู้ที่อยู่ในวงการสื่อบางส่วน ในการเผยแพร่ข่าวสารต่างๆ ซึ่งมีทั้งทางบวกและทางลบ โดยไม่ได้ยืนอยู่บนความเป็นกลาง ซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากการมีผลประโยชน์บางอย่างหรือไม่ก็ตาม โดยไม่ได้คำนึงถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อประเทศชาติโดยส่วนรวม
ก็ได้แต่เพียงหวังว่า เมื่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ประกาศคำวินิจฉัยแล้ว ไม่ว่าผลจะเป็นประการใดทุกฝ่ายจะยอมรับโดยไม่มีการกล่าวหาว่าการตัดสินไม่เป็นธรรมโดยเหตุที่เป็นที่ไม่ถูกใจของพวกตัวเองหรือหาว่าเป็นเพราะระบอบเผด็จการ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ก็จะขออนุญาตเรียกกลุ่มที่มีความคิดเหล่านั้น โดยการใช้คำว่า เป็นพวกเผด็จกู
หันกลับมาสู่เรื่องของโรคโควิด-19 อีกครั้งหนึ่งก็เช่นเดียวกันครับว่าโรคนี้ที่ขณะนี้อยู่ในระยะที่เรียกว่าเปลี่ยนผ่านจากการเป็นโรคระบาดใหญ่ มาสู่การเป็นโรคระบาดเฝ้าระวัง จะเข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่นในวันที่ 1 ตุลาคม นี้
ซึ่งขณะนี้ หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการในการดูแลรักษาผู้ป่วย ก็ได้มีการเตรียมการที่จะรองรับในเรื่องการบริหารจัดการทั้งหมดแล้ว โดยในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ก็ได้มีการสื่อสาร ให้ประชาชนได้รับทราบถึงสถานการณ์ของโรคที่ทุเลาเบาบางลงเป็นอย่างมาก ในส่วนของระบบหลักประกันสุขภาพต่างๆไม่ว่าจะเป็นของระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ระบบประกันสังคม ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ รวมทั้งรัฐวิสาหกิจต่างๆ ก็ได้มีการเตรียมพร้อมในเชิงระบบไว้ทั้งหมด และในส่วนของโรงพยาบาลทั้งของภาครัฐและเอกชน ซึ่งในช่วงเกือบ 3 ปีที่ผ่านมานี้ได้ให้การดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19เป็นจำนวนรวมกันประมาณ 4.6 ล้านคนนั้น ก็มีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคนี้ในลักษณะของโรคประจำถิ่นแล้ว
ในส่วนของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบ ในเรื่องการดูแลรักษาประชาชนที่เจ็บป่วยมากที่สุดของประเทศไทยนั้น โดยมีประชาชนที่อยู่ภายใต้โครงการนี้มากกว่า 40 ล้านคน ก็ได้จัดให้มีแนวทางในการดูแลรักษาผู้ป่วย ตั้งแต่เริ่มต้นมีอาการ ซึ่งจะขอนำมากล่าวถึง 2 เรื่องใหญ่ คือ
การเข้ารับการตรวจกรณีที่สงสัยว่ามีการติดเชื้อ ได้มีการขยายช่องทางในการเข้ารับการตรวจ นอกเหนือจากการไปโรงพยาบาลตามสิทธิ คือ การเข้ารับการตรวจเบื้องต้นได้ตามร้านขายยา ที่ตามกฎหมายจะต้องมีเภสัชกรอยู่ประจำในช่วงเวลาที่เปิดทำการ ที่ปัจจุบันมีมากกว่า 2,000 แห่ง ที่เข้าร่วมโครงการนี้ทั่วประเทศ โดยผู้ที่มีอาการและสงสัยว่าจะมีการติดเชื้อโควิด-19 สามารถจะเข้ารับการตรวจด้วยวิธี ATK ได้จากร้านขายยาดังกล่าว หากผลการตรวจพบว่าน่าจะมีการติดเชื้อ ก็สามารถเข้าสู่กระบวนการรักษาได้ทันที โดยเภสัชกรจะเป็นผู้แนะนำแนวทางการรักษา รวมทั้งพิจารณาจัดยาเพื่อการรักษาให้ตามความเหมาะสม ซึ่งอาจจะเริ่มต้นด้วย ยาฟ้าทะลายโจรยาฟาวิพิราเวียร์ หรือแม้แต่ยาโมลนูพิราเวียร์ ร่วมกับการให้ยารักษาตามอาการได้เลย เป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการในการตรวจรักษาเบื้องต้นได้เป็นอย่างดี รวมทั้งช่วยลดภาระของผู้ติดเชื้อทั้งในเรื่องของเวลาที่ต้องใช้ในการเดินทางและเข้ารอรับการตรวจรักษาในโรงพยาบาล ตลอดจนภาระค่าใช้จ่ายอื่นๆ นอกจากนี้ยังเป็นการลดภาระของทั้งโรงพยาบาลภาครัฐและเอกชนด้วย
ในส่วนของการรักษาด้วยยานั้น เดิมทีประเทศไทยใช้ยาต้านไวรัสที่มีชื่อว่า ฟาวิพิราเวียร์เป็นยาหลักในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 แต่ขณะนี้มีข้อมูลที่ชัดเจนแล้วว่ามียาที่สามารถจะใช้รักษาโรคนี้ได้ดีสำหรับผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง หรือ มีอาการมากคือยาที่มีชื่อว่าโมลนูพิราเวียร์โดยผู้ติดเชื้อที่ตรวจด้วยวิธี ATK หรือ RT-PCR แล้วว่า มีการติดเชื้อจริงและมีใบสั่งยาจากแพทย์ให้ใช้ยาโมลนูพิราเวียร์ เป็นยาหลักในการรักษานั้น สามารถจะเข้าไปขอรับยาที่ร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้เลย โดยเภสัชกรจะต้องเป็นผู้พิจารณา ติดตามผลของการใช้ยาดังกล่าวตามความเหมาะสมด้วย
ทั้งสองเรื่องที่กล่าวมาแล้ว จึงถือเป็นเรื่องที่ดียิ่ง เพราะการสร้างระบบที่ทำให้ประชาชนที่เจ็บไข้ได้ป่วยเข้าสู่ระบบการรักษาได้อย่างสะดวก และรวดเร็ว หรือที่ใช้คำว่า GoodAccessibility นั้น ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะการรักษาโรคนั้น เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า หากวินิจฉัย และรักษาได้เร็วเท่าไหร่ก็ เป็นเรื่องที่ดีมากขึ้นเท่านั้น และหากเรื่องดังกล่าว จะมีการขยายผลไปยังระบบหลักประกันสุขภาพอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบประกันสังคม สวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการและรัฐวิสาหกิจได้ด้วย โดยให้ สปสช.หรือสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เป็นศูนย์กลางในการประสานข้อมูล และการจัดการ (clearing house) ก็ย่อมจะเกิดประโยชน์แก่ประชาชนทั้งประเทศ
เรื่องการฉีดวัคซีนโควิด-19 ซึ่งถือว่ายังเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นที่สุดในการป้องกันโรคนี้ ข้อมูลล่าสุดในเรื่องของผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนนั้น พบว่าจนถึงปัจจุบัน มีผู้เข้ารับการฉีดวัคซีน 1 เข็มแล้ว เป็นจำนวนประมาณ 82 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มเป้าหมายผู้ที่ฉีดครบ 2 เข็มแล้ว มีจำนวนประมาณ 77 เปอร์เซ็นต์และผู้ที่เข้ารับการฉีด 3 เข็มแล้ว มีจำนวนเกือบจะถึง 46 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถ้าหากจะนับเฉพาะผู้ที่ฉีดครบ 2 เข็ม ตามเกณฑ์เดิมที่กำหนดไว้ว่า น่าจะป้องกันโรค และ การเกิดอาการรุนแรงได้ โดยเชื่อว่าจะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในระดับประเทศนั้น จากการศึกษาล่าสุด พบว่า อาจจะยังไม่พอเพียงจริง โดยมีข้อมูล ที่จะนำเสนอดังนี้
วัคซีน 2 เข็ม ป้องกันปอดอักเสบที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจได้ 60 เปอร์เซ็นต์ และป้องกันการเสียชีวิตได้ 72 เปอร์เซ็นต์
วัคซีน 3 เข็ม ป้องกันปอดอักเสบที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจได้ 83 เปอร์เซ็นต์ และป้องกันการเสียชีวิตได้ 93 เปอร์เซ็นต์
วัคซีน 4 เข็ม ป้องกันปอดอักเสบที่ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ และเสียชีวิตได้ 100 เปอร์เซ็นต์
ขอย้ำว่า วัคซีนไม่ป้องกันการติดเชื้อ แต่การฉีดวัคซีน 3 เข็มขึ้นไป ช่วยป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิตในระดับสูงได้อย่างน้อย 6 เดือน จึงขอเชิญชวนให้ผู้ที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3เข้ารับการฉีดวัคซีนโดยเร็ว ซึ่งจะทำให้จำนวนของผู้ที่ฉีด 3 เข็ม เพิ่มขึ้นได้ใกล้เคียงกับตัวเลข 80 เปอร์เซ็นต์โดยเร็วซึ่งจะยืนยันถึงการเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ในระดับประเทศได้ อันจะช่วยสร้างความปลอดภัยโดยส่วนรวมให้กับสังคม รวมทั้งผู้ที่ฉีดวัคซีนครบ 3 เข็มนานกว่า 3 เดือนแล้ว หากมีโอกาสที่จะได้รับวัคซีนเข็มที่ 4 ก็ควรจะไปฉีดเข็มที่ 4 เพื่อความปลอดภัยที่มากยิ่งขึ้นหากมีการติดเชื้อ
ตัวเลขล่าสุด ในเรื่องของผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลรายวันนั้น ขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 1,500 ราย โดยมีผู้ป่วยที่มีอาการปอดอักเสบร่วมด้วย และ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเริ่มลดต่ำลงกว่า 700 ราย รวมทั้ง ผู้เสียชีวิตในแต่ละวันก็เริ่มเห็นตัวเลขที่ต่ำกว่า 20 รายต่อวันบ้างแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี แต่ทุกคนก็ไม่ควรตั้งอยู่ในความประมาท เพราะมีข้อมูลจากนักวิชาการด้านนี้ว่า หากมีการสุ่มตัวอย่างจากประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้มีอาการเจ็บป่วย อาจจะพบว่ามีผู้ได้รับเชื้ออยู่ในร่างกายแล้วถึง 1 ใน 3 และผู้ที่ได้รับเชื้อทุกคนนั้นมีโอกาสที่จะเผยแพร่เชื้อให้กระจายไปสู่บุคคลอื่นได้
โควิด-19 จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น ตามประกาศที่จะออกโดยกระทรวงสาธารณสุข ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้ เป็นต้นไป ซึ่งหมายความว่า โรคนี้จะเป็นโรคที่เกิดขึ้นกับใครเมื่อไหร่ก็ได้ การป้องกันตัวเองด้วยการฉีดวัคซีนอย่างน้อยที่สุด 3 เข็ม และการใส่หน้ากากอนามัยเมื่อจะต้องอยู่ในที่สาธารณะโดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางผู้คนจำนวนมาก จึงเป็นสิ่งที่ยังเป็นเรื่องจำเป็น และ ควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตลอดไป
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร

‘กรมการแพทย์’ชู 3 เทคโนโลยีการรักษาฟื้นฟู‘กะโหลกเทียม แขนขาเทียมและตาปลอม’
ช็อกกันทั้งซอย กล้องหน้ารถจับภาพ ชายป่วยซึมเศร้าโดดตึก3ชั้นสาหัส
วางขายแล้ว! จาก‘ข้าวดอ’สู่‘ข้าวเม่า’ ขนมโบราณ ฝีมือชาวนาอำนาจเจริญ
ประเทศแรกในเอเชีย! ‘ฟีฟ่า’เลือก‘ไทย’ เจ้าภาพฟุตบอลหญิง รายการ FIFA Series 2026tm
‘สืบยโสธร’รวบเครือข่ายโจรกรรมรถ จยย.ข้ามชาติ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี