คณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อภารกิจสำคัญของประเทศชาติถึงสองประการ คือการสร้างระบบกฎหมาย รวมทั้งการร่างกฎหมาย กฎข้อบังคับต่างๆ และการให้คำปรึกษารัฐบาลเกี่ยวกับกฎหมาย สนธิสัญญา ข้อตกลงและสัญญาต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นเรื่องของกฎหมายบ้านเมืองที่มีผลต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างสำคัญ
และในทางปฏิบัตินั้น ในกรณีที่มีข้อพิพาทและจำเป็นต้องตั้งอนุญาโตตุลาการ รัฐบาลก็มักจะแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการฝ่ายของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐจากคณะกรรมการกฤษฎีกา
ในกรณีที่ต้องวินิจฉัยกรณีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย เช่น ข้อตกลงหรือสัญญาใดเข้าลักษณะที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายร่วมลงทุนหรือไม่ เข้าลักษณะที่ต้องขอความเห็นชอบต่อรัฐสภาหรือไม่ ตลอดจนวิธีปฏิบัติตามกฎหมายต่างๆ ที่อาจไม่ชัดเจน รัฐบาลก็จะขอความเห็นจากคณะกรรมการกฤษฎีกา
และมีระบบระเบียบกำหนดว่าความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกานั้นผูกพันหน่วยงานต่างๆ ของรัฐแต่เรื่องนี้ยังหาตัวบทกฎหมายที่ชัดเจนไม่พบ จึงไม่แน่ชัดว่าเป็นการถือเอาเองหรือเป็นหลักปฏิบัติก็ได้
เพราะเหตุที่ภารกิจของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและคณะกรรมการกฤษฎีกามีความสำคัญเช่นนี้ จึงจำเป็นอยู่ในตัวที่จะต้องสรรหาบุคลากรที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ที่จะทำหน้าที่ดังกล่าวนั้นให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่กระทบกระเทือนหรือทำลายขื่อแปของบ้านเมืองเป็นส่วนรวม นั่นคือนอกจากต้องสรรหาคนดีมีวิชาความรู้และประสบการณ์แล้ว ความรอบรู้ในทางกฎหมายจึงเป็นพื้นฐานอันจำเป็นและสำคัญยิ่งในการทำหน้าที่กรรมการกฤษฎีกา
โดยภารกิจดังกล่าวนั้นเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์อันสุดประมาณของประเทศชาติ ของประชาชน จึงต้องมีความเป็นธรรมาภิบาล ไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และต้องไม่ผูกขาดอำนาจที่หยั่งลึกจนมีบทบาทอิทธิพลครอบงำรัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ แม้กระทั่งรัฐวิสาหกิจ ตลอดไปจนถึงภาคเอกชน
ซึ่งในเรื่องนี้ก็มีหลักการเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปแล้วว่าต้องไม่ให้มีการผูกขาดอำนาจนานเกินไป ซึ่งมีการวางหลักกันแล้วต่อเนื่องมาในรัฐธรรมนูญหลายฉบับ สรุปได้ว่า
ข้อแรก นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งเกิน8 ปีไม่ได้ ไม่ว่าจะดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่
ข้อสอง ข้าราชการทั้งปวงมีกำหนดการเกษียณอายุเมื่อ 60 ปี ยกเว้นบางหน่วยงานที่ขาดแคลนบุคลากรก็ให้ขยายอายุไปถึง 70 ปี แต่ช่วงสิบปีหลังนั้นต้องไม่ดำรงตำแหน่งทางบริหาร เช่นฝ่ายตุลาการและอัยการ
ข้อสาม กรรมการองค์กรอิสระต่างๆ แม้กระทั่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะต้องมีอายุไม่เกิน 70 ปี
โดยทั่วไปจึงต้องถือว่าการกำหนดอายุ 70 ปี เป็นเวลาสูงสุดในการดำรงตำแหน่งต่างๆ ในภาครัฐบาลในปัจจุบันนี้ และวาระการดำรงตำแหน่งนั้นสำหรับนายกรัฐมนตรีคือ 8 ปี
แต่เป็นที่น่าแปลกประหลาดว่าการดำเนินงานในสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกานั้นมีคณะบุคคลที่เป็นกรรมการกฤษฎีกาจำนวนมากดำรงตำแหน่งรวมกันเกิน 20 ปี หรืออาจจะถึง 30-40 ปี ซึ่งต้องด้วยลักษณะผูกขาดอำนาจนั่นเอง
การแต่งตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกาครั้งล่าสุดปรากฏว่ามีการแต่งตั้งบุคคลที่อยู่ในอำนาจในคณะกรรมการกฤษฎีกามายาวนานจำนวนมากบางคนอายุเกิน 70 เกือบจะร้อยปีก็มีอยู่ร่วม20 คน และบางคนก็เป็นจำเลยอยู่ในศาลอาญาคดีทุจริตในข้อหาทุจริตและประพฤติมิชอบ และหลายคนก็เป็นกรรมการหรือข้าราชการของรัฐซึ่งมีประโยชน์ทับซ้อนกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการกฤษฎีกาอย่างชัดเจน
เฉพาะเรื่องอายุและเวลาการดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการกฤษฎีกาจึงเป็นเรื่องที่ต้องยกเครื่องแก้ไขโดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่างหรือไม่ให้เป็นองค์กรอภิสิทธิ์เหนือกว่าองค์กรของรัฐอีกต่อไป
รวมทั้งเวลาการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งควรต้องถือหลักเช่นเดียวกับนายกรัฐมนตรีคือไม่เกิน 8 ปี
ที่สำคัญคืออาจต้องปฏิรูปหรือแก้ไขกระบวนการสรรหากรรมการกฤษฎีกา เพราะที่ปรากฏความจริงในขณะนี้เป็นเรื่องของความมีอภิสิทธิ์เหนือกว่าองค์กรทั้งหลายของรัฐและขาดความโปร่งใส เพราะไม่มีการเปิดรับสมัครโดยเปิดเผยไม่เปิดโอกาสให้คนดีมีวิชาได้มีโอกาสสมัคร และไม่มีกระบวนการคัดเลือกที่โปร่งใส
เรื่องดังกล่าวข้างต้นเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขโดยฉับไวที่สุด เพราะความเป็นจริงในขณะนี้ก็เป็นที่รู้เห็นกันทั้งประเทศแล้วว่ามีใครครอบงำและมีการใช้หน่วยงานนี้เอื้อประโยชน์ตนและพวกพ้องอย่างไร เสียงก่นด่าสาปแช่งคนบางคนกึกก้องกระหึ่มทั้งแผ่นดินที่คนปกติไม่อาจทนทานได้ แต่ก็หาได้สำเหนียกไม่
ยังไม่รวมถึงการใช้อำนาจหน้าที่ที่ผ่านมาจากผลกระทบที่บางคนผูกขาดอำนาจอย่างยาวนานดังเช่นการทำสัญญาโง่ๆ หรือต้องเสียค่าโง่ไม่หยุดไม่หย่อน ทำให้ประเทศชาติเสียหายนับแสนๆล้านบาท หรือการยอมตัวรับสภาพสิทธินอกอาณาเขตที่ให้รัฐบาลยอมตกลงในการทำสัญญากับเอกชนว่าถ้ามีข้อพิพาทจะต้องไปขึ้นศาลอนุญาโตตุลาการต่างประเทศ เป็นต้น
ยิ่งระบบการบัญญัติกฎหมาย นิติปรัชญา และบัญญัติวิธี ก็มีอาการฟั่นเฟือนจนบทกฎหมายทั้งหลายนั้นเป็นต้นเหตุของปัญหาความขัดแย้ง การทุจริตและการบิดเบือนการใช้อำนาจเป็นจำนวนมาก
นี่คือผลิตผลที่สร้างกรรมทำเข็ญให้กับบ้านเมืองที่ถึงเวลาต้องปฏิรูปใหญ่แล้ว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี