ปัจจุบันค่าเงินบาทได้อ่อนค่าอย่างรวดเร็วอยู่ในระดับ 37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทำสถิติอ่อนค่าเมื่อเทียบในห้วงเวลา 16 ปี ที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รักษาการนายกรัฐมนตรีได้ให้ความสำคัญเพราะผลกระทบต่อเศรษฐกิจที่ยังไม่มั่นคงในระยะยาวการฟื้นตัวที่ยังเผชิญกับความเสี่ยงการอ่อนค่าของเงินบาท เนื่องมาจากการแข็งค่าของเงินสกุลดอลลาร์ และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ การคาดหมายให้สถานการณ์เงินบาทจะผ่อนคลายมีเสถียรภาพด้วยตัวเองเพราะอัตราแลกเปลี่ยนนั้นยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ ทางด้านเศรษฐกิจด้วย
การที่เงินบาทอ่อนตัวเป็นผลดีต่อภาคเศรษฐกิจการส่งสินค้าออกและการท่องเที่ยว แต่ในขณะเดียวกันก็มีผลกระทบมากต่อการนำสินค้าเข้าคือเครื่องจักร วัตถุดิบเพื่อการผลิตกับผู้ประกอบการขนาดกลางขนาดเล็ก และที่น่ากังวลจะส่งผลต่อการนำเข้าพลังงานที่ต้นทุนแพงขึ้น เช่น น้ำมัน ก๊าซปิโตรเลียมเหลวจะกระทบต่อความเป็นอยู่ทั้งภาคประชาชน และผู้ประกอบการต่อเนื่องไปอย่างไรก็ตามในวันที่ 23 ก.ย. 2565 นั้น 1 ดอลลาร์สหรัฐเท่ากับ 37.18 บาท ส่วนค่าเงินบาทเทียบกับสกุลอื่นๆ นั้นไม่ได้ตกเลยบางสกุลเงินกลับเทียบแล้วดีขึ้นอีกด้วยซ้ำไป
ปัจจุบันประเทศไทยมีเงินทุนสำรองถึง 220,000ล้านเหรียญสหรัฐ นับว่ามากในรอบ 25 ปีที่ผ่านมาของสหรัฐ การบริหารเงินตราต่างประเทศไปอิงกับเงินดอลลาร์มากไปจนเป็นทาสดอลลาร์ปัจจุบันคู่ค้าของเราไม่ใช่สหรัฐอเมริกา หรือยุโรปตะวันตก มากเหมือนอดีตแล้ว ไทยค้าขายกับอาเซียน 10 ชาติ ค้าขายกับจีน ค้ากับญี่ปุ่น ค้ากับเกาหลีใต้ ค้ากับอาหรับ ค้ากับรัสเซีย และอินเดียมากขึ้น ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม สมาคมธนาคารไทย รัฐบาล กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม สภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมไทย สภาการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ควรมาประชุมกันว่าเงินบาทไทยไม่น่าจะอิงกับค่าเงินดอลลาร์อีกต่อไป
ประเทศไทยควรตั้งอัตราแลกเปลี่ยนกับเงินตราหลายๆสกุลที่เรียกกันว่า Currency of Basket แบบจีนหรืออินเดีย ควรอิงกับทองคำ การกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายควรดูภาพรวมทั้งโลกอย่าลืมว่ารัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้พิมพ์ธนบัตรออกมาใช้เองโดยปราศจากใช้หลักประกันนานาชาติ ต้องจี้ไปที่ธนาคารโลกและสำนักงานกองทุนสำรองระหว่างประเทศด้วยว่าได้ปล่อยให้สหรัฐอเมริกากระทำแบบนี้มานานแล้ว ควรเลิกระบบที่ไร้เหตุผลที่กระทำแบบนี้ อย่างไรก็ตามค่าเงินบาทจะรักษาเสถียรภาพได้อยู่ที่สภาวะเศรษฐกิจประเทศมีความแข็งแกร่งและมีแนวโน้มในอนาคตว่าเติบโตที่ดีและยั่งยืนเพียงใด
การที่จะทำให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพได้นั้น จำเป็นที่รัฐบาลจะต้องกำหนดนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ชัดเจนเหมาะสมกับสถานการณ์ รวมถึงการบริหารจัดการเชิงรุกที่อาศัยการประสานงานอย่างใกล้ชิดของกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย หน่วยงานด้านตลาดทุนแต่ละองค์กรย่อมมีความรับผิดชอบ และบทบาทที่ชัดเจนอยู่แล้วและไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน เราต้องไม่ปล่อยให้ทิศทางเศรษฐกิจไทย ซึ่งรวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนเป็นไปตามยถากรรมขึ้นอยู่กับนโยบายและมาตรการทางเศรษฐกิจของประเทศอื่น
การกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายกำหนดโดยธนาคารกลาง เป็นอัตราดอกเบี้ยที่สำคัญที่สุดที่จะส่งผลกับอัตราดอกเบี้ยอื่นๆ ในระบบเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นอัตราที่ธนาคารกลางจ่ายดอกเบี้ยให้กับธนาคารพาณิชย์ที่เอาเงินมาฝาก หรือเป็นอัตราที่ธนาคารกลางเก็บดอกเบี้ยจากธนาคารพาณิชย์ที่มากู้เงิน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะส่งผลกับอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารพาณิชย์คิดกับลูกค้าที่เป็นผู้กู้หรือผู้ฝากเงินต่อไป
ขอย้ำว่ารัฐบาลไทย กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยฯ ถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ได้แล้ว อย่ายอมตกเป็นทาสของสหรัฐอเมริกาอีกต่อไป เพราะเขาไม่ใช่มหาอำนาจเพียงหนึ่งเดียวในโลก ไทยต้องหันมาคิดพึ่งตัวของเราเอง และมีมุมมองโลกให้รอบด้านมากกว่าที่แล้วๆ มา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี