พระราชพิธีเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ณ อุทยานเฉลิมพระเกียรติฯ เมื่อเวลาประมาณ 18.00 น. ของวันที่ 13 ตุลาคม ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันสวรรคตของพระองค์ท่านเมื่อ 6 ปีที่ผ่านมา คือปีพุทธศักราช 2559 ในพื้นที่สนามม้านางเลิ้งเดิม ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณอดุลยเดช สยามินทราธิเบศรราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงบริจาคที่ดินผืนนี้ ที่เป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ เพื่อให้จัดทำเป็นอุทยานเฉลิมพระเกียรติฯ ซึ่งนอกเหนือจากการจัดตั้งพระบรมราชานุสาวรีย์ดังกล่าวแล้ว ยังจัดพื้นที่ให้เป็นสวนสาธารณะกลางกรุง รวมทั้งมีพื้นที่ที่ถูกจัดให้เป็นแก้มลิงเพื่อรองรับน้ำ อันจะช่วยบรรเทาปัญหาน้ำท่วมของกรุงเทพฯ ด้วย ก็ได้ผ่านพ้นไปอย่างสมพระเกียรติยิ่ง ท่ามกลางพสกนิกรที่ใส่เสื้อสีเหลืองจำนวนมากที่ได้เข้าเฝ้าฯรับเสด็จและร่วมชมพิธีการดังกล่าวด้วยหัวใจแห่งความรักและเทิดทูน ที่มีต่อองค์ในหลวงรัชกาลที่ 9 มากเกินกว่าที่จะกล่าวได้
เป็นที่น่าประหลาดใจว่าในวันที่มีการอัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์เพื่อขึ้นประดิษฐาน เมื่อวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา ณ แท่นที่จัดเตรียมไว้นั้น ก็ปรากฏเหตุการณ์อัศจรรย์คือพระอาทิตย์ทรงกลดขึ้น เป็นปรากฏการณ์ที่สอดคล้องกับความเชื่อของชาวไทยทั้งหลายว่า สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อันเนื่องมาจากบุญญาบารมีของพระองค์ท่านที่ขณะนี้ได้สถิตอยู่ในสรวงสวรรค์ชั้นพิมานแล้ว
และก็เช่นเดียวกัน ในวันที่มีพระราชพิธีเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ในช่วงเย็นวันนั้น ก็จะเห็นว่าเป็นวันที่อากาศดี ทั้งๆ ที่เป็นช่วงฤดูฝนและมีฝนตกหนักมาโดยตลอด ก็ปรากฏว่าท้องฟ้าเหนือบริเวณพิธีเป็นสีฟ้าคราม ประกอบกับตรงชายขอบฟ้าก็เป็นสีชมพูทองสวยสดงดงามยิ่ง เสมือนกับเป็นการรับรู้ของเหล่าทวยเทพทั้งหลายว่าพระองค์ท่านจะสถิตอยู่คู่แผ่นดินไทย ณ อุทยานเฉลิมพระเกียรติแห่งนี้ เพื่อรับการสักการะของประชาชนชาวไทยซึ่งมีความจงรักภักดีโดยตลอดไป
ตลอดระยะเวลามากกว่า 70 ปีที่พระองค์ทรงครองราชย์ ด้วยหลักทศพิธราชธรรมนั้น ด้วยพระเมตตาบารมีที่มีต่อประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าพระองค์ท่านไม่ได้เพียงแต่เสด็จฯเพื่อทรงเยี่ยมเยียนประชาชน เพื่อจะได้ทราบถึงสารทุกข์สุกดิบ เท่านั้น แต่พระองค์ทรงนำสิ่งที่ได้พบเห็นมาจัดทำโครงการเป็นจำนวนมากกว่า 4,000 โครงการ เพื่อจะทำให้ประชาชนของพระองค์มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม โดยส่วนใหญ่ของโครงการจะเป็นเรื่องของการเกษตร การศึกษา โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเป็นหลัก และยังได้รวมไปถึงโครงการที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์และสาธารณสุขด้วย
พระองค์ได้มีพระราชดำรัสว่า “ถ้าคนเรามีสุขภาพเสื่อมโทรม ก็จะไม่สามารถพัฒนาชาติได้ เพราะทรัพยากรที่สำคัญของประเทศชาติก็คือพลเมืองนั่นเอง” ทั้งนี้ภายใต้พระราชปณิธานส่วนพระองค์ที่ว่า “คนไทยทุกคนต้องได้รับโอกาส การรับบริการรักษาอย่างดีที่สุดได้รับการบำบัดป้องกันอย่างดีที่สุดเพื่อให้คนไทยมีสุขภาพดีถ้วนหน้า”
พระองค์ทรงตระหนักดีว่า แพทย์คือบุคคลที่มีบทบาทอย่างยิ่งในการทำให้ ประชาชนมีสุขภาพดี ทั้งในเรื่องของการป้องกันและการรักษา ดังที่จะเห็นได้ว่าในครั้งหนึ่งที่ได้เสด็จไปในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ เมื่อวันที่ 6เมษายน 2504 ได้มีพระบรมราโชวาทพระราชทานไว้ว่า “ขอให้ท่านดำเนินวิชาชีพอันมีเกียรตินี้ด้วยการปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักวิชาที่ได้เล่าเรียนมา นอกจากนี้จะต้องเป็นผู้มีจิตใจสูง ประกอบด้วยเมตตากรุณาแก่เพื่อนมนุษย์ทั่วไป การกระทำความดีเท่านั้นที่จะนำความสุขความเจริญมาสู่ตนเอง การที่ได้เรียนสำเร็จจนได้รับปริญญาแล้วนั้นขอให้พยายามศึกษาและฝึกฝนตนเองไว้เสมอ ถ้าท่านไม่ศึกษาเพิ่มเติมไว้ต่อไปไม่ช้าท่านก็จะเป็นผู้ล้าหลัง ไม่ทันกับความเจริญของโลก”
ซึ่งจะเห็นว่าพระบรมราโชวาทในครั้งนั้นสอดคล้องกับพระราชดำรัสของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ที่ประชาชนชาวเชียงใหม่ได้ถวายสมัญญานามของพระองค์ท่านว่า “หมอเจ้าฟ้า” เมื่อครั้งที่พระองค์ท่านเสด็จไปทรงงานที่โรงพยาบาลแมคคอร์มิค จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งต่อมาได้รับการถวายพระสมัญญาภิไธยหจากแพทย์และประชาชนทั่วไปว่า “พระบิดาแห่งการแพทย์ไทย” โดยได้มีพระราชดำรัสแก่แพทย์ทั้งหลายไว้ว่า “ขอให้ถือผลประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศจะตกมาแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งวิชาชีพไว้ให้บริสุทธิ์”
พระราชกรณียกิจด้านการแพทย์และสาธารณสุข ที่พระองค์ได้ทรงริเริ่มและดำเนินการจนประสบผลสำเร็จ ในการสร้างเสริมและรักษาสุขภาพของประชาชนนั้น สามารถจะรวบรวมได้ดังต่อไปนี้
โครงการหน่วยแพทย์พระราชทาน ได้เริ่มดำเนินการขึ้นในปี 2500 และขยายโครงการเต็มรูปแบบ ในปี 2512 โดยเมื่อพระองค์เสด็จไปเพื่อทรงเยี่ยมเยียนราษฎร ในที่ใดก็จะมีคณะแพทย์พระราชทานซึ่งประกอบด้วยแพทย์ประจำพระองค์ และแพทย์ตามเสด็จของหน่วยแพทย์หลวง ทั้งแพทย์และพยาบาลอาสาจากหน่วยงานต่างๆออกให้การรักษาพยาบาล ให้คำแนะนำในการป้องกันโรค ดูแลสุขภาพให้แก่ประชาชนที่มาเฝ้าฯรอรับเสด็จ
โดยพระองค์ได้พระราชทานพระบรมราโชวาทแก่หน่วยแพทย์ที่ออกปฏิบัติงานดังกล่าวไว้ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2512 ว่า นายแพทย์เมื่อได้เรียนวิชาแพทย์แล้วจะต้องออกปฏิบัติตามความมุ่งหมายของการแพทย์คือการรักษาประชาชนให้พ้นทุกข์ จากโรคที่มีอยู่ในเมืองไทยหรือทั่วโลก ที่เหมือนกันคือขาดแคลนยา ขาดแคลนอาหารบางชนิดและขาดแคลนเรื่องความเป็นอยู่ ซึ่งทำให้เกิดโรคแก่ร่างกายได้ การที่ทางราชการหรือว่านายแพทย์ทั้งหลายเข้าใจโจมตีจุดสำคัญนี้คือความเจ็บป่วยของประชาชนถึงที่นั้น นับว่าเป็นหน้าที่ของแพทย์โดยตรงและอย่างตรงที่สุด
โครงการแพทย์หลวงเคลื่อนที่พระราชทาน กำเนิดขึ้นในปี 2508 โดยทุกครั้งที่พระองค์เสด็จแปรพระราชฐานไปยังต่างจังหวัด และท้องที่ห่างไกลตัวเมืองมากๆ ก็จะเปิดหน่วยตรวจบริเวณหน้าตำหนักที่ประทับ ซึ่งจะมีผู้ป่วยจำนวนมากมาขอรับการรักษา
โครงการอบรมหมอหมู่บ้าน ได้เริ่มต้นครั้งแรกเมื่อปี 2525 ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยคัดเลือกราษฎรอาสาสมัครตามหมู่บ้าน เข้ามารับการอบรมด้านสาธารณสุขมูลฐานจากหน่วยงานทั้งทหารและพลเรือน ที่รับผิดชอบเรื่องการดูแลสุขภาพอนามัย โดยเน้นเรื่องโภชนาการของแม่และเด็ก การรักษาพยาบาลเบื้องต้นและการดูแลสุขภาพของตนเองในท้องถิ่น
โครงการแพทย์พิเศษตามพระราชประสงค์ เริ่มต้นเมื่อปี 2517 เมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จฯทรงเยี่ยมราษฎรที่จังหวัดนราธิวาสและทอดพระเนตรเห็นความเจ็บป่วย ของประชาชนในถิ่นห่างไกลที่มีปัญหาทั้งทางเศรษฐกิจและการคมนาคม ตลอดจนสถานีอนามัยที่มีอยู่ก็ไม่เพียงพอ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้กระทรวงสาธารณสุขจัดแพทย์หมุนเวียนเข้าไปให้บริการตรวจรักษา และเป็นต้นแบบในการดำเนินการในสถานที่อื่นๆ เมื่อพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไป
โครงการหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่พระราชทาน เริ่มต้นในปี 2512 โดยพระองค์ทรงมีพระราชปรารภว่า เวลาพระองค์ทรงมีปัญหาเกี่ยวกับฟันก็มีทันตแพทย์ดูแลรักษา แล้วเวลาราษฎรที่อยู่ห่างไกลจะมีทันตแพทย์ช่วยรักษาหรือเปล่า เพราะพระองค์ตระหนักดีว่าทันตแพทย์นั้นมีอยู่น้อย และได้ตรัสแก่ทันตแพทย์ประจำพระองค์ว่า “ให้หมอไปดูแลบำบัดทุกข์ให้แก่นักเรียนและประชาชนที่อยู่ในท้องถิ่นกันดารห่างไกล จะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมดและจัดหน่วยเคลื่อนที่ไปโดยรถยนต์”
โครงการแพทย์หูคอจมูกและโรคภูมิแพ้พระราชทาน โครงการนี้เกิดขึ้นในปี 2525 เพราะทรงเห็นว่ามีราษฎรจำนวนมากที่เจ็บป่วยด้วยโรคหูคอ จมูกและภูมิแพ้ ซึ่งต้องการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขานี้ จึงได้จัดหน่วยแพทย์อาสาในสาขาดังกล่าว ออกไปให้บริการแก่ประชาชนในจังหวัดต่างๆ โดยผลัดเปลี่ยนทำหน้าที่ชุดละ 2 สัปดาห์
โครงการศัลยแพทย์อาสาราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย เริ่มต้นเมื่อปี 2521 โดยกลุ่มแพทย์อาวุโสที่มีประสบการณ์ได้เห็นความสำคัญของการผ่าตัดช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ห่างไกล โดยทำงานร่วมกับหน่วยแพทย์พระราชทาน ซึ่งเป็นที่มาของการมีราชวิทยาลัยแพทย์ในสาขาต่างๆ ติดตามมา
การจัดตั้งคลินิกศูนย์แพทย์พัฒนาเพื่อชุมชนยากไร้ ในปี 2531 พระองค์ทรงทราบถึงความเดือดร้อนของชาวบ้านชุมชนยากไร้บริเวณบึงพระราม 9 ซึ่งถูกรอบล้อมด้วยน้ำเสีย จึงมีปัญหาการเจ็บป่วยจากสภาพแวดล้อมและเศรษฐสถานะ จึงได้พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์จัดสร้างคลินิกศูนย์แพทย์พัฒนาขึ้น ริมถนนประดิษฐ์มนูธรรม เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ และต่อมาในปี 2541 ได้พระราชทานที่ดินเพิ่มเติมและสร้างอาคารทันสมัยขึ้น เพื่อรองรับปริมาณของผู้มารับบริการ โดยสามารถให้การตรวจรักษาโรคโดยผู้เชี่ยวชาญทุกสาขา รวมทั้งมีระบบส่งต่อไปยังโรงพยาบาลที่มีความพร้อมด้วย ปัจจุบันเป็นที่นิยมของประชาชนจำนวนมาก
จะเห็นได้ว่าพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อการแพทย์และสาธารณสุขของไทยนั้นมีอย่างมากมายมหาศาล ไม่น้อยไปกว่าด้านอื่นๆ ทั้งนี้ด้วยทรงคำนึงถึงประชาชนของพระองค์ท่านเป็นหลักเป็นไปตามที่พระองค์ได้ทรงมีพระราชดำรัสไว้ว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี