ในช่วงที่สัปดาห์ผ่านมา ไม่มีเรื่องอะไรจะครึกโครมเท่ากับการตรึงกำลังของทหารบริเวณชายแดนไทยและกัมพูชา และชัดเจนแล้วว่าเขมรนั้นเป็นฝ่ายจุดชนวนขึ้นมาก่อนเหมือนเขียนพลอตกันมาแล้ว
เริ่มจากวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 ทหารเขมรจำนวนหนึ่งนำโดยนายทหารยศพลตรีของกองทัพเขมร จู่ๆ ก็ขึ้นมาร้องเพลงชาติของตนบริเวณปราสาทตาเมือนธม ซึ่งอยู่ในเขตประเทศไทยที่อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ แต่ทหารไทยไม่ยอม มีการโต้เถียงกัน แล้วทหารเขมรก็เดินทางกลับพูดภาษาบ้านๆก็ต้องบอกว่า “ตั้งใจกวนตีน”
ต่อมาช่วงกลางเดือนพฤษภาคม มีการเผยแพร่ภาพทหารเขมรลักลอบขุดสนามเพลาะ หรือที่เรียกว่า “คูเลต” (ไม่รู้คำนี้มาจากไหน เพราะสนามเพลาะภาษาอังกฤษคือ trench) ในเขตแดนไทยอีก บริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี คราวนี้เสริมกำลังอาวุธครบมือเกือบร้อยนายมาด้วย เตรียมตั้งฐานบริเวณพื้นที่เนิน 745
ทหารกองกำลังสุรนารีของไทยได้ตรวจพบ และพูดคุยกับทหารเขมรให้หยุดการกระทำดังกล่าวเสีย เจรจาให้ออกจากพื้นที่เพราะเป็นการละเมิดบันทึกช่วยจำ หรือ MOU ที่ทำกันไว้ตั้งแต่พ.ศ. 2543 ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวทั้งสองฝ่ายอยู่ระหว่างการเจรจาเรื่องเขตแดน
แต่ทหารเขมรก็ละเมิดข้อตกลงกลับมาขุดคูเลตอีกครั้ง เป็นยาวถึง 650 เมตร จนเกิดการปะทะกันตอนเช้าวันที่ 28 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ทหารเขมรยศนายสิบตายไป 1 คน และก็ตามที่คาด กระทรวงกลาโหมและกองทัพบกของกัมพูชาอ้างว่า ฝ่ายไทยยิงก่อน
หลังจากนั้น สองพ่อลูกตระกูล ฮุน ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภาและนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ตามลำดับ ก็โพสต์บนสื่อโซเชียลรัวๆ เหมือนฟ้องชาวเขมรและชาวโลกว่า กัมพูชาต้องเตรียมพร้อมในการปกป้องตัวเองจากการถูกรุกราน และข่มขู่จะนำเรื่องพรมแดนขึ้นสู่ศาลโลก เหมือนที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้วจากกรณีเขาพระวิหาร
ขณะที่รัฐบาลหอยทากแห่งประเทศไทย แทนที่จะแถลงตอบโต้ทันควัน ทันสถานการณ์ กว่าจะกระดึ๊บออกแถลงการณ์ฉบับแรกได้ก็ปาเข้าไปวันที่ 4 มิถุนายน ผ่านไปแล้ว 1 สัปดาห์ และแถลงการณ์จากกระทรวงต่างประเทศในวันที่ 7 มิถุนายน จึงชัดเจนว่า ทหารไทยจะใช้มาตรการปิดจุดผ่านแดนต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายเสนอแนะมาก่อนหน้านี้หลายวันแล้วก็ไม่รู้ว่ามือลึกลับที่ไหนไปดึงถ่วงเอาไว้
ในที่สุด หลังจากปิดด่านไปได้วันเดียวคือ 7 มิถุนายน รัฐบาลกัมพูชาก็ทนพิษบาดแผลไม่ไหว ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้รบกัน สั่งถอนกำลังออกจากพื้นที่ขัดแย้ง กลบแนวสนามเพลาะที่ขุดไว้ยาวกว่าครึ่งกิโลเมตรด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าทางทหารไทยได้ไปยืนดูตอนทหารเขมรกลบหลุมหรือเปล่าว่า แอบเอากับระเบิดซ่อนไว้ใต้ดินหรือไม่
การที่สองพ่อลูกตระกูล ฮุน สั่งถอยทหารก็น่าจะมาจากความเดือดร้อนของชาวเขมร เพราะถ้ามาตรการปิดด่านจากฝ่ายไทยเข้มข้นมากขึ้น ต่อไปความเดือดร้อนของชาวเขมรอาจจะบานปลาย และกระทบกับอำนาจปกครองของตน แต่ สมเด็จฮุนเซน ก็ยังอดประกาศให้โลกรู้ไม่ได้ว่า เป็นความผิดของไทยที่ปิดด่าน เล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงแพรวพราวแบบนี้ไม่มีคนที่ 2
ไทยและกัมพูชามีชายแดนติดต่อกันยาวประมาณ 798 กิโลเมตร แน่นอนว่าเส้นเขตแดนติดกันยาวขนาดนี้ ย่อมต้องมีอาณาเขตทาบเกี่ยวกันเป็นพื้นที่ทับซ้อนหลายจุด แต่ที่พิเศษหน่อยสำหรับ 2 ประเทศคือ นอกจากมีพื้นที่ทาบทับเกี่ยวกันทางบก ยังมีพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ซึ่งอย่างหลังนี่แหละที่มีผลประโยชน์มหาศาลจากแหล่งพลังงานใต้ทะเล
ปัญหาอาณาเขตทับซ้อนมีการเจรจากันระหว่าง 2 ประเทศมานานกว่า 20 ปี แต่ยังไม่สำเร็จ สรุปไม่ได้เสียทีเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนที่ทั้งสองฝ่ายจะยอมรับตรงกัน เพราะเส้นเขตแดนมันมั่วมาตั้งแต่สมัยสยามทำสนธิสัญญากับประเทศฝรั่งเศส เมื่อพ.ศ. 2436 มหาอำนาจผิวขาวไปที่ไหนคล้ายว่าจะนำความบรรลัยไปด้วยเช่นเดียวกับเหตุการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีจุดเริ่มมาจากอังกฤษ
แต่บ้านเรา ดูเหมือนความบรรลัยจะถูกเพิ่มเติมจากคนในประเทศนี้เอง คนที่ไม่เคยคิดอะไรอื่นนอกจากผลประโยชน์ เหมือนประเทศชาติเป็นสมบัติของตนจะเอาไปต่อรองผลประโยชน์อะไรก็ได้
เชื่อเถอะว่า การยอมถอยของรัฐบาลกัมพูชาครั้งนี้จะไม่ใช่การจบเรื่องพรมแดนโดยสมบูรณ์ และการประชุมระหว่าง 2 ประเทศอีกไม่กี่วันที่จะมาถึงก็จะไม่มีบทสรุปอะไร จะมีการยั่วยุเข้ามาตีกินพื้นที่ประเทศไทยอีกเรื่อยๆในอนาคต ตราบใดที่ไม่ใช้ยาแรงกันบ้าง ตราบใดที่ผู้ครองอำนาจทางการเมืองของ 2 ประเทศยังเป็น 2 ตระกูลปัจจุบัน และตราบใดที่รัฐบาลไทยยังตามตูด ฮุนเซน อยู่ต้อยๆ
ทิวา สาระจูฑะ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี