แนวหน้า มั่นคง ตรงไป ตรงมา...■■ การจะพัฒนาทุกสิ่งทุกอย่างให้เจริญขึ้นนั้นจะต้องสร้างและเสริมขึ้นจากพื้นฐานเดิมที่มีอยู่ก่อนทั้งสิ้น ถ้าพื้นฐานไม่ดี หรือคลอนแคลนบกพร่องแล้ว ที่จะเพิ่มเติมเสริมต่อให้เจริญขึ้นไปอีกนั้นยากนักที่จะทำได้ จึงควรจะเข้าใจให้แจ้งชัดว่า นอกจากจะมุ่งสร้างความเจริญแล้ว ยังจะต้องพยายามรักษาพื้นฐานให้มั่นคงไม่บกพร่องพร้อมๆ กันไปด้วย การรักษาพื้นฐาน ก็คือการปฏิบัติบริหารงานที่ทำอยู่เป็นประจำนั้นไม่ให้บกพร่อง...(ความตอนหนึ่งจากพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 10 กรกฎาคม 2525)...
■■ การประชุมสุดยอดผู้นำสมาชิกเอเปกที่ไทยเป็นเจ้าภาพเริ่มต้นขึ้นแล้ว โดยผู้นำสูงสุดของประเทศมหาอำนาจของโลกที่เดินทางมาร่วมประชุมครั้งนี้คือ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน การเดินทางมาไทยครั้งนี้ของ สี จิ้นผิง นับเป็นครั้งที่สอง โดยครั้งแรกมาในฐานะรองประธานาธิบดี เมื่อปี 2554 ส่วนการมาของผู้นำสูงสุดของจีนในปี 2565 นั้น มาในฐานะเสมือนจักรพรรดิของจีน ดังนั้น ขอให้จับตามองให้ใกล้ชิดว่า สี จิ้นผิง จะกล่าวอะไรกับนายกรัฐมนตรีไทย ประยุทธ์ จันทร์โอชา และจะกล่าวอะไรกับประชาคมโลกผ่านการประชุมสุดยอดผู้นำเอเปก 2022 ...
■■ ประเด็นหนึ่งที่ไทยคาดว่าจะได้รับจากจีนคือ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่จะเพิ่มมากขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนแล้วก็คือการเข้ามาลงทุนในไทยของบริษัทผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของจีนยี่ห้อ BYD (Build Your Dreams) มีการคาดการณ์ว่าจีนจะใช้ไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าด้วย เช่น แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ขอให้รอฟังว่า สี จิ้นผิงจะพูดเรื่องการสร้างความร่วมมือวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีทันสมัยระหว่างจีนกับไทยในประเด็นใดบ้าง...
■■ ขอย้ำเตือนคนที่ไม่เข้าใจเรื่องเอเปกให้โปรดเข้าใจว่า เอเปก (Asia Pacific Economic Coorporation) คือเขตเศรษฐกิจสำคัญของโลก มีสมาชิกรวมทั้งหมด 21 เขตเศรษฐกิจ มีมหาอำนาจของโลกร่วมเป็นสมาชิกด้วย จากสถิติในรอบสองทศวรรษพบว่า APEC เป็นภูมิภาคที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดและต่อเนื่องด้วย มีประชากรร่วมกันถึง 1 ใน 3 ของทั้งโลก นอกจากนั้นยังมีตัวเลข GDP และตัวเลขปริมาณการค้าสูงเกินกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ของโลก เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่บอกว่า APEC ไม่มีความสำคัญ ก็ต้องกลับไปศึกษาเรื่อง APEC ให้ดีก่อนพูดโดยขยายความโง่ให้สาธารณชนได้รับรู้...
■■ การเมืองไทยเรื่องการแย่งอำนาจระหว่างนักการเมืองอาจจะถูกพักไว้ก่อนในช่วงการประชุมเอเปก แต่ไม่ได้หมายความว่านักการเมืองไทยจะเลิกแย่งอำนาจกัน เพียงแต่ข่าวเอเปกดังกว่าและกลบข่าวแยงอำนาจได้มิดเท่านั้น ขอให้ดูให้ดีก็แล้วกันว่าหลังจากจบสิ้นการประชุมเอเปกแล้ว นักการเมืองไทยจะออกมาเปิดศึกแย่งชามข้าวกันหนักหน่วงเพียงใด แล้วก็ต้องจับตามองด้วยว่าสุดท้ายแล้วนายกรัฐมนตรีจะประกาศยุบสภาก่อนครบวาระของรัฐบาลที่จะสิ้นสุดลงในเดือนมีนาคม 2566 หรือไม่ แต่คอการเมืองจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าน่าจะประกาศยุบสภาก่อนรัฐบาลหมดวาระ ส่วนประยุทธ์ จันทร์โอชา จะแตกหักกับ ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือไม่นั้น เรื่องนี้อยู่ที่การแบ่งปันอำนาจการเมืองและผลประโยชน์ลงตัวหรือไม่ หากไม่ลงตัวก็แยกกันไป หากลงตัวก็กอดกันต่อไป...
■■ พูดถึงเรื่องการรายงานบัญชีทรัพย์สินหนี้สินของ นายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลายคนที่ไม่ปลื้มประยุทธ์โจมตีว่าประยุทธ์ไม่ยื่นบัญชีต่อ ป.ป.ช. แต่จากปากคำของเลขาธิการ ป.ป.ช. นิวัติไชย เกษมมงคล ยืนยันว่าประยุทธ์ยื่นบัญชีต่อ ป.ป.ช. แล้วหลายครั้ง แม้กฎหมายจะเปิดช่องให้นายกฯ ไม่ต้องยื่นบัญชี แต่นายกฯ ก็ยื่นมาโดยตลอด เพียงแต่ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดต่อสาธารณชนเท่านั้น เนื่องจากเป็นไปตาม พ.ร.ป. ป.ป.ช.พ.ศ. 2561 มาตรา 105...
■■ การทำข่าวผิดพลาดแบบซ้ำซากจำเจถือเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจและน่าสมเพชมากที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับนักวิชาชีพสื่อมวลชน เพราะแสดงให้เห็นความบกพร่อง ความหละหลวม และความเพิกเฉยต่อความจริงที่จำเป็นในการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนผู้ยึดมั่นในหลักจรรยาบรรณวิชาชีพ แต่สำหรับความผิดพลาดที่กล่าวถึงนั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้งมากในการทำงานข่าวของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส สาธารณชนจำได้ดีว่ามีการรายงานข่าวผิดพลาดคลาดเคลื่อนเป็นประจำในสถานีโทรทัศน์ที่ได้รับเงินจากภาษีบาปปีละอย่างน้อย 2,000 ล้านบาท ดังนั้น จึงมีคำถามจากสาธารณชนว่าสังคมไทยสมควรที่จะโยนเงินปีละประมาณ 2,000 ล้านบาททิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์อีกหรือไม่ มีคำถามด้วยว่าหากไม่มีไทยพีบีเอสแล้ว สังคมไทยเสียประโยชน์ประการใดหรือแล้วที่สำคัญคือมีคำถามอีกว่า นำเงิน 2,000 ล้านบาทต่อปีไปสร้างศูนย์วิจัยด้านการแพทย์ หรือสร้างโรงพยาบาลสำหรับรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วยที่เป็นผู้ยากไร้ หรือแม้กระทั่งนำไปสร้างโรงพยาบาลรักษาสัตว์อนาถาจะให้ประโยชน์กับสังคมมากกว่า และเป็นรูปธรรมยิ่งกว่า...
■■ ทุกครั้งที่มีความผิดพลาดต่างๆ นานา เกิดขึ้นในสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ไม่เคยปรากฏว่าผู้บริหารของสถานีโทรทัศน์แห่งนี้ ไม่ว่าจะระดับใดจะแสดงความรับผิดชอบแม้แต่ครั้งเดียว แต่กลับปรากฏว่ามีการโยนความผิดให้กับพนักงานระดับล่างเป็นประจำ จนทำให้เกิดคำถามว่าผู้บริหารระดับสูงของไทยพีบีเอสเคยมีสำนึกของความรับผิดชอบบ้างหรือไม่ หรือทำได้แค่เพียงโยนความผิดให้พนักงานตัวเล็กๆ แต่มีคำถามว่า การรายงานข่าวผิดพลาดเกิดจากความบกพร่อง หละหลวมของใครมากกว่ากันระหว่างพนักงานระดับล่างกับผู้บริหารระดับสูง การปล่อยให้ข่าวที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนออกอากาศได้บ่อยๆ ไม่ใช่ความรับผิดชอบของผู้บริหารระดับสูงของไทยพีบีเอสดอกหรือ...
■■ หากใครต้องการรู้ว่าไทยพีบีเอสมีผู้บริหารระดับสูงเป็นใครบ้าง แล้วมีผู้บริหารระดับผู้อำนวยการต่างๆ กี่สิบคน ขอให้เข้าไปสืบค้นภายในไทยพีบีเอสดู แล้วจะตื่นตะลึงกับการมีผู้บริหารระดับสูงเฟ้อมาก บอกได้คำเดียวสั้นๆ ว่าผู้บริหารระดับผู้อำนวยการในไทยพีบีเอสนั้นมากกว่าตำแหน่งอธิบดีในกระทรวงที่มีอธิบดีเดินเหยียบเท้ากันไปมาในแต่ละวันเสียอีก เมื่อมีตำแหน่งผู้บริหารเยอะแยะมากเกินจำเป็น ก็หมายถึงการสิ้นเปลืองเงินค่าจ้างรายเดือน และเงินสวัสดิการให้กับผู้บริหารโดยเปล่าประโยชน์...■■
ธรรมกร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี