ในท่ามกลางวิวาทะกันระหว่างรัฐบาลกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับเรื่องการแจกเงิน 10,000 บาท ตามนโยบายของรัฐบาล จนมีการกล่าวขวัญกันถึงความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ใครๆ จะเข้าแทรกแซงไม่ได้ ก็เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้นนั่นคือรัฐบาลแถลงจะคืนหนี้ของกองทุนฟื้นฟูสถาบันการเงินที่กระทรวงการคลังเป็นหนี้อยู่ให้แก่ธนาคารแห่งประเทศไทยรับไปชำระหนี้ต่อไป
ทำให้เกิดความงุนงงสงสัยว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรและเกิดอะไรขึ้น รวมทั้งจะมีผลอย่างไร เพราะคนทั้งหลายลืมเลือนเรื่องหนี้กองทุนฟื้นฟูของสถาบันการเงินดังกล่าวไปนานแล้ว จึงอาจไม่ทราบว่าผลจากการนี้จะเกิดอะไรขึ้นจึงสมควรทำความเข้าใจเรื่องนี้สักครั้งหนึ่ง
ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจว่าหนี้กองทุนฟื้นฟูจำนวนประมาณ 1 ล้านล้านบาทนั้น แต่ก่อนมาไม่ใช่หนี้ของกระทรวงการคลังที่ทำให้เป็นส่วนหนึ่งของหนี้สาธารณะ และถูกใช้เป็นเหตุผลการโต้แย้งในการก่อหนี้ เพื่อเอาเงินมาแจก 500,000 ล้านบาท ว่ากระทบกับหนี้สาธารณะ เพราะหนี้ดังกล่าวนี้เดิมทีเป็นหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เกิดขึ้นจากความเสียหายและขาดทุนจากความผิดพลาดครั้งประวัติศาสตร์ในเหตุการณ์ต้มยำกุ้ง
ในครั้งนั้นมีการโจมตีค่าเงินของประเทศไทย ซึ่งประเทศไทยมีทางเลือกที่จะปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาดหรือเข้าปกป้องค่าเงินบาท ในที่สุดธนาคารแห่งประเทศไทยได้ตกลงใจใช้วิธีการปกป้องค่าเงินบาท ซึ่งมีผู้คนจำนวนมากคัดค้านว่าจะก่อให้เกิดความเสียหายพินาศล่มจมแก่ระบอบเศรษฐกิจของประเทศ และจะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยฉิบหายวายวอดด้วย
ผู้คัดค้านที่เป็นตัวตนในยุคนั้นก็คืออดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายสุรศักดิ์ นานานุกูล ดร.อัครเวช โชตินฤมล ที่ปรึกษาเศรษฐกิจของรัฐบาล นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของรัฐบาล และรองเลขาธิการพรรคความหวังใหม่ รวมทั้งนายไพศาล พืชมงคล ที่ปรึกษาพรรคความหวังใหม่ ได้ร่วมกันแถลงข่าวที่โรงแรมเซ็นทรัล ลาดพร้าว แต่หามีใครรับฟังไม่
มิหนำซ้ำ คณะดังกล่าวถูกถล่มโจมตียับเยินทั้งจากภายในพรรคความหวังใหม่ จากรัฐบาล จากสื่อมวลชนและกองเชียร์ทั้งหลาย รวมทั้งผู้คนในธนาคารแห่งประเทศไทยว่าเป็นการกระทำที่กระทบต่อความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทย และเป็นการกระทำที่ขาดความรู้ความเข้าใจที่สู้ความรู้ความเข้าใจของภารโรงของธนาคารแห่งประเทศไทยก็ยังไม่ได้
ในที่สุดก็มีการทุ่มเงินจำนวนมากเรียกว่าหมดเนื้อหมดตัวเพื่อปกป้องค่าเงินบาท เพื่อสนองหลักการที่ยึดกันผิดๆ ว่าความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทย และใครจะแตะต้องมิได้
ในที่สุดก็ออกดอกออกผล เศรษฐกิจชาติพินาศล่มจม ธุรกิจเอกชนฉิบหายวายวอด สถาบันการเงินล้มละลายนับร้อย ทรัพย์สินของประชาชนถูกยึดไปชำระหนี้หลายล้านล้านบาท แม้ธนาคารแห่งประเทศไทยเจ้ากี้เจ้าการเจ้าหลักการความเป็นอิสระและใครแตะต้องมิได้ก็เสียหายยับเยิน มีผลขาดทุนถึง 1.4 ล้านล้านบาท มากที่สุดในประวัติศาสตร์นับแต่ตั้งธนาคารแห่งประเทศไทยมา
ผลขาดทุนดังกล่าวได้ตั้งไว้ในบัญชีกองทุนเงินฟื้นฟูของธนาคารแห่งประเทศไทยที่จะต้องชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยแก่เจ้าหนี้ถึง 1.4 ล้านล้านบาท และกระทบต่อผลประกอบการของธนาคารแห่งประเทศไทย กระทบต่อความเชื่อมั่นอย่างรุนแรงหลายปี หลังจากนั้นราว 20 ปีซึ่งได้ใช้หนี้และดอกเบี้ยไปแล้วหลายแสนล้านบาท แต่หนี้ลดหายไปเพียง 200,000 ล้านบาท คงเป็นหนี้อีก 1.2 ล้านล้านบาท ก็มีพวกหัวแหลมหาทางแก้ไขสถานะการดำเนินงานของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยขอโอนหนี้ดังกล่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทยมาให้กระทรวงการคลังรับผิดชอบในการชดใช้หนี้และดอกเบี้ยต่อไป ทำให้ภาระหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทยหายวับไป 1.2 ล้านล้านบาทซึ่งทำให้ผลประกอบการเป็นดังที่เห็นอยู่ในทุกวันนี้
ในขณะเดียวกัน กระทรวงการคลังที่รับหนี้ดังกล่าวมาก็ต้องหาเงินไปชำระดอกเบี้ยและเงินต้นและกลายเป็นหนี้สาธารณะที่คนไทยทั้งประเทศต้องแบกรับใช้หนี้ รวมทั้งคณะผู้ไปตั้งวงคัดค้าน 4 คนนั้นด้วย ดังนั้นหนี้สาธารณะของประเทศไทยในทุกวันนี้ก็คือยอดหนี้ที่รวมภาระหนี้ดังกล่าวที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นหนี้มาก่อนนั่นเอง
20 กว่าปีผ่านไป กระทรวงการคลังได้ใช้ดอกเบี้ยเป็นส่วนใหญ่แต่แทบไม่ได้ใช้หนี้เงินต้น จึงทำให้หนี้สาธารณะของประเทศที่ประชาชนต้องแบกรับราว 1 ล้านล้านบาทนี้ ยังอยู่บนหัวของคนไทย และเป็นภาระของกระทรวงการคลังต่อไป ดังนั้นเมื่อมีการอ้างความเป็นอิสระและความล้ำเลิศถูกต้องทางความรู้ความคิดที่ใครก็สู้ไม่ได้ รัฐบาลก็ตอบโต้ในเรื่องนี้อย่างถึงพริกถึงขิงด้วยการให้คืนหนี้ดังกล่าวไปให้ธนาคารแห่งประเทศไทยรับผิดชอบตามเดิม
ข้อแรก ก็เป็นการเตือนสติของผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทยและบรรดากองเชียร์ทั้งหลายว่าการอ้างความเป็นอิสระและแตะต้องไม่ได้เคยสร้างความฉิบหายขนาดไหนมาแล้ว จะเอากันอีกไหม เพราะขณะนี้ภาระดอกเบี้ยเงินกู้สูง ดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ สถาบันการเงินไม่ให้สินเชื่อ กำลังทำลายเศรษฐกิจของประเทศอย่างรุนแรง กระทั่งคนมีเงินฝากก็ขาดทุนเพราะได้ดอกเบี้ยน้อยกว่าเงินเฟ้อจนฉิบหายกันทั้งประเทศอยู่แล้ว ความเป็นอิสระและแตะต้องไม่ได้แบบนี้จะทนได้อีกนานเท่าใด
การคืนหนี้กองทุนฟื้นฟูดังกล่าว 1 ล้านล้านบาททำให้กระทรวงการคลังลดหนี้สาธารณะลง 1 ล้านล้านบาทจึงมีช่องว่างจะกู้เงินมาทดแทนได้ถึง 2 เท่าของเงินที่จะกู้มาใช้ในการแจกเงิน เป็นการแก้ปัญหาของกระทรวงการคลังและรัฐบาลซึ่งกำลังถูกกล่าวหาอยู่ในขณะนี้
และการคืนหนี้กองทุนฟื้นฟูดังกล่าวจะเป็นการเตือนสติผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทยและกองเชียร์ทั้งหลายว่านี่คือความเสียหายจริงที่เกิดขึ้น และผ่านความเจ็บปวดมากหลายมาแล้ว ยังจะรักษาความเป็นอิสระและแตะต้องไม่ได้ไว้แบบเดิมต่อไปหรือไม่ หรือว่าต้องเป็นความอิสระที่ต้องอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ไม่ใช่นายธนาคารเพียงไม่กี่คนของประเทศนี้
การแถลงของรัฐบาลดังกล่าว จนถึงวันนี้ไม่มีการตอบโต้หรือแถลงโต้แย้งแต่ประการใด เพราะคมหอกคมดาบของการคืนหนี้กองทุนฟื้นฟูครั้งนี้หนักหน่วงรุนแรง กระทั่งอาจกล่าวได้ว่าทะลุทะลวงห้วงหัวใจทะลุไปด้านหลังทีเดียวก็ว่าได้
ความเป็นอิสระนั้นไม่ใช่อิสระโดยไม่มีขอบเขต แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานผลประโยชน์แห่งชาติและประชาชน และต้องสามารถทักท้วงโต้แย้งได้ ไม่พึงยกฐานะจนเกินจริง ซึ่งบทเรียนของความเสียหายก็ปรากฏให้เห็นมาแล้ว และไม่ควรให้เกิดขึ้นอีก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี