ต้องนับว่าเป็นโชคดีของประชาชนชาวไทยเป็นอย่างมากที่ในยามนี้หากมีการเจ็บป่วยเกิดขึ้นก็สามารถเข้าสู่การรักษาพยาบาลได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลย หากไม่เรียกร้องหรือต้องการเพิ่มเติมในสิ่งที่เกินกว่าสิทธิประโยชน์อันพึงมี ทั้งนี้ เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ได้เกิดระบบที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการประกันสุขภาพ ให้กับประชาชนทุกหมู่เหล่า
ปัจจุบันนี้ มากกว่า 99 เปอร์เซ็นต์ของประชาชนชาวไทย ได้รับการคุ้มครองสุขภาพ ซึ่งครอบคลุมทั้งในเรื่องของการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษาและการฟื้นฟูสมรรถภาพหลังจากเจ็บป่วย จากระบบประกันสุขภาพซึ่งภาครัฐเป็นผู้จัดให้เกิดขึ้นรวม 3 ระบบ อันได้แก่ ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของข้าราชการ ระบบประกันสังคม และระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ซึ่งทั้ง 3 ระบบนั้น มีความเป็นมาที่พอจะกล่าวโดยสรุปได้ดังนี้
ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ซึ่งรวมทั้งญาติสายตรงด้วย ซึ่งหมายถึงพ่อ แม่ สามีหรือภรรยาและบุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ ของข้าราชการท่านนั้นๆ เป็นระบบสวัสดิการของภาครัฐซึ่งจัดให้มีขึ้นเป็นระบบแรก โดยระบบนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2523 โดยมีการออกพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. 2523 เกิดขึ้น ซึ่งมีการแก้ไขเพิ่มเติมในภายหลังบ้าง ปัจจุบันระบบนี้ครอบคลุมผู้มีสิทธิ์ประมาณ 6 ล้านราย โดยมีกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลังเป็นผู้บริหารจัดการด้านการเงินในลักษณะของงบประมาณประจำปี ผู้ที่มีสิทธิ์สามารถเข้ารับบริการได้จากสถานพยาบาลของภาครัฐทุกแห่งรวมทั้งสถานพยาบาลของภาคเอกชนบางแห่งที่ได้เข้าร่วมในโครงการพิเศษ
ระบบประกันสังคม เป็นระบบซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 2533 ภายใต้พระราชบัญญัติ ประกันสังคม พ.ศ.2533 เป็นระบบที่จัดตั้งขึ้นเพื่อให้ผู้ใช้แรงงานได้รับสวัสดิการในส่วนต่างๆ โดยส่วนหนึ่งนั้นเป็นการดูแลในเรื่องของการรักษาพยาบาล ซึ่งปัจจุบันก็ครอบคลุมทั้งในเรื่องของการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษาและการฟื้นฟูสมรรถภาพเช่นเดียวกัน ระบบนี้ได้มีการปรับปรุงพัฒนาหลายครั้งมาตามลำดับ จนนับได้ว่าเป็นระบบที่ดีมากระบบหนึ่ง ครอบคลุมผู้มีสิทธิ์ตามมาตราต่างๆรวมทั้งสิ้นมากกว่า 22 ล้านคน โดยมีกระทรวงแรงงานเป็นผู้รับผิดชอบในการบริหารจัดการผ่านทางสำนักงานประกันสังคม งบประมาณในการใช้บริหารจัดการมาจาก 3 ส่วนคือจากภาครัฐบาล นายจ้าง และเงินสมทบของลูกจ้าง โดยเงินทั้งหมดของกองทุนนั้นถูกนำมาจัดสรรเพื่อเป็นสวัสดิการในด้านต่างๆ อันประกอบด้วย กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอันมิใช่เนื่องมาจากการทำงาน กรณีทุพพลภาพอันมิใช่เนื่องมาจากการทำงาน กรณีเสียชีวิตกรณีคลอดบุตร กรณีสงเคราะห์บุตร กรณีว่างงาน และกรณีชราภาพรวม 7 กรณี โดยในส่วนของการรักษาพยาบาลนั้น ผู้ใช้แรงงานต้องสมัครเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแห่งใดแห่งหนึ่งที่อยู่ในโครงการนี้
ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เป็นระบบที่เกิดขึ้นตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 เป็นระบบที่รู้จักกันดีในนามของระบบ 30 บาทรักษาทุกโรค หรือบัตรทอง มีสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติซึ่งเป็นองค์กรของรัฐฯ ภายใต้รัฐมนตรีสาธารณสุข รับผิดชอบในการบริหารจัดการทั้งหมด ทั้งในเรื่องของการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษาและการฟื้นฟูสมรรถภาพเช่นเดียวกันกับระบบอื่น โดยขณะนี้ครอบคลุมประชากรผู้มีสิทธิ์ซึ่งจะเป็นประชากรเกือบทั้งหมดที่ไม่อยู่ในระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการและระบบประกันสังคม รวมทั้งสิ้นมากกว่า 48 ล้านราย ทั้งนี้ได้รับงบประมาณจากรัฐบาลในการดำเนินการแต่ละปีเป็นระบบที่มีการพัฒนาและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด จนถือได้ว่าเป็นระบบประกันสุขภาพที่ดีที่สุดระบบหนึ่งเมื่อเทียบกับนานาชาติ
เนื่องจากวันที่ 19 พฤศจิกายน 2565 นี้ เป็นวันที่ครบรอบ 20 ปีของวันสถาปนาสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จึงจะขอนำเรื่องราวความเป็นมาของระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมาเล่าสู่กันฟัง เพื่อให้ท่านทั้งหลายได้ทราบว่าสำนักงานฯซึ่งมีส่วนอย่างยิ่งในการบริหารจัดการเพื่อให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้รับการดูแลด้านสุขภาพ จนเกือบจะครบ 100% ของประชากรอย่างครบวงจรนั้น ได้ก่อตั้งและผ่านปัญหาและอุปสรรคอย่างไรมาบ้าง
ย้อนไปก่อนปีพุทธศักราช 2523 ประเทศไทยยังไม่มีระบบประกันสุขภาพ ที่ชัดเจนให้กับประชาชน โดยผู้ที่เจ็บป่วยต้องรับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการรักษาพยาบาลเอง จากอดีตซึ่งการรักษาพยาบาลนั้นยังเป็นในรูปแบบเดิมคือการรักษากันเองตามบ้าน หมอยา หมอพื้นเมือง ในการคลอดก็ใช้หมอตำแย เมื่อการแพทย์แผนปัจจุบันในประเทศไทยเริ่มเจริญเติบโตขึ้น เริ่มต้นจากแพทย์ชาวอเมริกัน 2 ท่านคือ หมอบรัดเลย์ (Dan Beach Bradley) ในปี 2377 มีการเปิดคลินิกขึ้น มีการถ่ายเลือดเพื่อรักษาผู้ป่วยที่เสียเลือดเป็นจำนวนมาก มีการปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ และหมอเฮาส์ (Reynolds Samuel House) ในปี 2300 ที่เริ่มใช้การดมยาเพื่อการผ่าตัดเป็นครั้งแรก ถือเป็นศัลยแพทย์ท่านแรก ส่วนโรงพยาบาลที่รักษาแบบแพทย์แผนปัจจุบันโรงแรกของประเทศไทยคือโรงพยาบาลมิชชั่นที่จังหวัดเพชรบุรี ก่อสร้างเมื่อปีพ.ศ. 2423 และโรงพยาบาลที่ 2 คือโรงพยาบาลอเมริกันมิชชั่น ที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปี 2425 ซึ่งถือว่าเป็นต้นกำเนิดของโรงพยาบาลแมคคอร์มิค ส่วนของรัฐบาลคือโรงพยาบาลศิริราชซึ่งเป็นโรงพยาบาลแรกที่สร้างโดยชาวไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อปี 2431
หลังจากมีการเริ่มต้นระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการในปี 2523 ซึ่งขณะนั้นจะครอบคลุมผู้มีสิทธิ์อยู่ประมาณ 3 ล้านคน ซึ่งเป็นข้าราชการและญาติสายตรง และต่อมาในปี 2533 ก็มีการเริ่มต้นของระบบประกันสังคมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลซึ่งครอบคลุมผู้มีสิทธิ์ประมาณ 7-8 ล้านคนเท่านั้น ซึ่งทำให้ประชากรไทยในทั้ง 2 ระบบรวมแล้วประมาณ 10 ล้านคนได้รับการคุ้มครองในเรื่องการรักษาพยาบาล ซึ่งในขณะนั้นจำนวนประชากรชาวไทยมีอยู่ประมาณ 56 ล้านคน จะเห็นว่ายังมีประชากรอีกมากกว่า 45 ล้านคนไม่มีสวัสดิการใดๆในการรักษาพยาบาลเมื่อเกิดการเจ็บป่วยขึ้น และเมื่อเจ็บป่วยต้องเข้าสู่การรักษา ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเอง จึงทำให้ทุกโรงพยาบาลของภาครัฐในขณะนั้นจะมีแผนกที่เรียกว่าสังคมสงเคราะห์ ซึ่งจะคอยให้การสงเคราะห์ดูแลผู้ป่วยที่มีปัญหาในเรื่องค่ารักษาพยาบาล ซึ่งถูกเรียกว่าผู้ป่วยอนาถา ทำให้เกิดการก่อหนี้สินทั้งของส่วนประชาชนที่เจ็บป่วยและหน่วยงานภาครัฐที่ต้องดูแลเป็นจำนวนมหาศาล ประชาชนจำนวนหนึ่งเมื่อเจ็บป่วยก็ไม่กล้าเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เพราะเป็นผู้ที่มีฐานะยากจน กลัวว่าจะไม่มีค่าใช้จ่ายให้กับโรงพยาบาล ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง มีประชาชนจำนวนไม่น้อย ที่ต้องเสียชีวิตจากการเจ็บป่วย ทั้งๆ เป็นโรคที่น่าจะรักษาให้หายได้
ต้องขอยกย่องนายแพทย์ท่านหนึ่งที่ในขณะนั้นปฏิบัติงานในตำแหน่งผู้ตรวจราชการ กระทรวงสาธารณสุขคือ นายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ ซึ่งหลังจากจบการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี ก็ไปปฏิบัติหน้าที่แพทย์ในโรงพยาบาลในชนบทที่ห่างไกล และได้เห็นถึงความลำบากยากแค้นของประชาชนในท้องถิ่นเมื่อเจ็บป่วย ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญเมื่อท่านได้มาปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้บริหาร โดยได้เริ่มแนวคิดในการที่จะให้ประชาชนที่ยากไร้ได้รับการดูแลด้านการรักษาพยาบาลที่ดีขึ้นกว่าเดิม บนหลักการของบริการที่จำเป็นด้านสุขภาพ จึงเป็นผู้ที่พัฒนารูปแบบของการดูแลสุขภาพในท้องถิ่น เริ่มต้นจากโครงการเล็กๆ ที่ปรับเปลี่ยนระบบบริการสาธารณสุขด้วยการพัฒนาสถานพยาบาลใกล้บ้านที่มีคุณภาพให้ดูแลประชาชนและครอบครัว เริ่มครั้งแรกที่อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งท่านเคยปฏิบัติหน้าที่ในท้องถิ่นนี้ ตามมาด้วยโครงการระดับจังหวัด ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาและในที่สุดได้ขยายเป็นโครงการระดับประเทศในชื่อว่า โครงการปฏิรูประบบบริการสาธารณสุข โดยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและสหภาพยุโรป ซึ่งต่อมาได้พัฒนา “โครงการอยุธยา” นี้ในจังหวัดอื่นด้วย เช่นพะเยา ยโสธร ขอนแก่น สงขลา นครราชสีมา และสมุทรสาคร เป็นต้น
ในปี 2540 ได้เกิดคณะกรรมการปฏิรูประบบสุขภาพแห่งชาติและสำนักงานปฏิรูประบบสุขภาพแห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่ยกร่างพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติเพื่อให้เป็นกฎหมายแม่บทด้านสุขภาพของประเทศไทย ภายใต้แนวคิด “สร้างนำซ่อม” ซึ่งแนวคิดดังกล่าวได้ถูกนำเสนอสู่พรรคการเมืองต่างๆ และในที่สุดก็ได้มีการดำเนินการต่อเนื่องจนเป็นนโยบายของรัฐ ในการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้กับคนไทย มีการนำร่องโครงการที่เรียกว่า “30 บาท รักษาทุกโรค” ในระยะที่ 1 เมื่อเดือนเมษายน 2544 ใน 6 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ปทุมธานี สมุทรสาคร นครสวรรค์ ยโสธร พะเยาและยะลา และขยายจนครอบคลุมทั้งประเทศตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2545 เป็นต้นมา พร้อมกันนี้ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติพ.ศ. 2545 รวมทั้งการจัดตั้งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เป็นหน่วยงานที่บริหารระบบและเป็นตัวแทนของประชาชนในการกำหนดสิทธิประโยชน์ตลอดจนคุ้มครองดูแลให้ประชาชนได้รับบริการอย่างเท่าเทียมกัน โดยมีนายแพทย์สงวน นิตยารัมภ์พงศ์เป็นเลขาธิการสำนักงานคนแรก เป็นเรื่องที่ต้องจารึกชื่อของท่านไว้
ต้องยอมรับว่าในช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 นั้น ด้วยศักยภาพของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ร่วมกับสำนักงานประกันสังคมและกรมบัญชีกลาง ทำให้ประชาชนชาวไทยได้รับการดูแลทั้งในเรื่องการป้องกันและรักษาโรคโควิด-19 อย่างดีเยี่ยม จนได้รับคำชื่นชมและยกย่องจากองค์การอนามัยโลก
จึงหวังว่าการก้าวสู่ปีที่ 21 ซึ่งจะเป็นการเริ่มทศวรรษที่ 3 ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติภายใต้การนำของนายแพทย์จเด็ด ธรรมธัชอารี เลขาธิการคนปัจจุบัน จะดำเนินการให้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้านี้ เป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดของประชาชนมากกว่า 48 ล้านคนในยามเจ็บไข้ได้ป่วยโดยตลอดไป
นายแพทย์ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี