ชาติไทยเราจะไม่เสียอิสรภาพครั้งที่ ๑ ในสมัยของสมเด็จพระมหินทราธิราช พระราชโอรสของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ในปีพ.ศ.๒๑๑๒ อย่างแน่นอน หากไม่มีผู้คิดคดทรยศต่อชาติที่มีนามยศตำแหน่งว่า พระยาจักรี
หลังสงครามช้างเผือกในปีพ.ศ. ๒๑๐๗ ในสมัยของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ที่พระองค์ทรงมีช้างเผือกถึง ๗ เชือก ซึ่งถือว่าเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีบุญญาบารมีเป็นอย่างยิ่ง ทำให้พระเจ้าบุเรงนองหรือผู้ชนะสิบทิศ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของอาณาจักรหงสาวดีมีความต้องการได้ช้างเผือกไปครอบครอง จึงขอแบ่งปันช้างเผือกจากสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ แต่ไม่สามารถจะตกลงกันได้ ทำให้พระเจ้าบุเรงนองยกทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยา
การศึกครั้งนั้นจบลงด้วยการเจรจาสงบศึก หลังจากทั้งสองฝ่ายเสียไพร่พลไปพอสมควรแล้ว โดยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิยอมมอบช้างเผือก ๔ เชือกให้กับพระเจ้าบุเรงนอง รวมทั้งยอมให้พระเจ้าบุเรงนองนำพระราเมศวร พระราชโอรส และพระยาจักรีซึ่งเป็นนายทหารผู้เข้มแข็งไปเป็นตัวประกัน
ห้าปีหลังจากนั้น พระเจ้าบุเรงนองผู้เอาชนะอาณาจักรล้านนาได้ทั้งหมด ก็ตัดสินใจยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากทรงเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาเริ่มกระด้างกระเดื่อง โดยยกทัพเข้ามาทางด่านแม่สอด รบเอาชนะหัวเมืองฝ่ายเหนือได้เกือบทั้งหมด ยกเว้นเมืองพิษณุโลกที่พระมหาธรรมราชาได้ยอมสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าบุเรงนอง
กองทัพของพระเจ้าบุเรงนองที่มีกำลังพลถึง ๕ แสนนาย ยกมาล้อมกรุงศรีอยุธยา โดยตั้งทัพหลวงที่ทุ่งลุมพลี ห่างจากกำแพงเมืองไม่มากนัก
สมเด็จพระมหินทราธิราชเห็นว่าศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก จึงได้กราบทูลขอให้สมเด็จพระมหาจักรพรรดิซึ่งทรงผนวชอยู่ให้ลาผนวชมาร่วมบัญชาการรบ
การต่อสู้ของกรุงศรีอยุธยาเป็นไปอย่างเข้มแข็ง มีการนำปืนใหญ่ที่มีระยะยิงไกลเช่น ปืนนารายณ์สังหาร ปืนจ่ารงมณฑล และปืนอื่นๆ ขึ้นประจำหอรบ แต่ละกระบอกตั้งห่างกันเพียง ๑๐ วา ระดมยิงเข้าใส่ทัพพม่า และยังตั้งหอรบในแม่น้ำรอบเกาะกรุงศรีอยุธยาด้วย ทัพพม่าที่ทุ่งลุมพลีได้รับความเสียหายจากกระสุนปืนใหญ่ จำเป็นต้องถอยห่างออกไปตั้งอยู่ที่บ้านมหาพราหมณ์ให้พ้นรัศมีปืนใหญ่
พม่าระดมพลเดินเท้ารุกเข้าประชิดกำแพงเมือง โดยใช้ต้นตาลกำบังตัว รวมทั้งพยายามถมดินข้ามคูเมือง แต่ก็ถูกกระสุนปืนใหญ่เสียชีวิตจำนวนมาก ทำให้พระเจ้าบุเรงนองทรงพระพิโรธอย่างยิ่ง และตรัสที่จะลงโทษแม่ทัพนายกองหากบุกเข้าประชิดตัวเมืองไม่ได้ จนทำให้ต้องใช้วิธีเอาศพพลทหารที่ถูกสังหารจำนวนมากนั้นถมทับกัน เอาดินกลบเป็นกองดิน ประชิดเข้ากำแพงเมืองไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ
มีการประชุมแม่ทัพนายกอง และมีผู้เสนอว่าให้ใช้กลอุบาย โดยการปล่อยตัว พระยาจักรี ซึ่งถูกจับไปเป็นตัวประกัน และถูกเลี้ยงดูอยู่ในกรุงหงสาวดีเป็นเวลา ๑๕ ปี เป็นทำนองว่าได้พยายามหลบหนีกลับมายังกรุงศรีอยุธยา ซึ่งพระยาจักรี ยอมตกลง เพราะเห็นแก่ลาภยศที่พระเจ้าบุเรงนองจะประทานให้
คืนวันหนึ่งจึงพันธนาการพระยาจักรีด้วยโซ่ตรวนแต่ยังพอเดินได้ แล้วให้พระยาจักรี เดินกลับเข้ากรุงศรีอยุธยา ทหารของกรุงศรีอยุธยาเมื่อเห็นดังนั้นก็ดีใจ เปิดประตูเมืองรับพระยาจักรีเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา และเพื่อให้สมเหตุสมผล พระเจ้าบุเรงนองได้สั่งให้ทหาร ๓๐ นาย ตามจับตัวพระยาจักรีให้ได้ เมื่อจับไม่ได้ก็ให้ตัดหัวประหารชีวิตทั้งหมด แล้วเอาหัวเสียบประจานหน้าค่ายทัพพม่า ทำให้ทางกรุงศรีอยุธยาเชื่อว่าพระยาจักรีหลบหนีมาจริง
สมเด็จพระมหินทราธิราชดีพระทัยเป็นอย่างยิ่งที่ได้พระยาจักรี นายทหารที่มีความสามารถทางด้านการรบกลับมาช่วยกรุงศรีอยุธยา จึงแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการรบ พระยาจักรีได้โอกาสจึงสับเปลี่ยนกำลังทหารให้จุดที่เข้มแข็งเป็นจุดที่อ่อนแอ และในคืนวันหนึ่งก็นัดแนะกับทัพพม่า เปิดประตูเมืองให้ทัพพม่าเข้าสู่กรุงศรีอยุธยา ในที่สุดทัพพม่าที่มีจำนวนมหาศาลก็เข้าตีกรุงศรีอยุธยาจนแตกพ่ายแพ้ สมเด็จพระมหินทราธิราชถูกเชิญไปกรุงหงสาวดีด้วย แต่ก็สวรรคตในระหว่างทาง
รวมเวลาที่กองทัพของพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองล้อมกรุงศรีอยุธยา เพื่อจะรบเอาชนะให้ได้นั้นต้องใช้เวลานานถึง ๙ เดือน และหากไม่มีผู้คิดคดทรยศ ก็เชื่อว่า ทัพของหงสาวดีจะต้องยกทัพกลับเพราะหลังจากนั้นอีกเพียงไม่กี่วัน น้ำเหนือก็หลากท่วมรอบกรุงศรีอยุธยา ซึ่งกองทัพจะไม่สามารถตั้งอยู่ได้
การพ่ายแพ้ครั้งนี้จึงถือเป็นความอัปยศ ที่นายทหารผู้หนึ่งได้ทรยศกับบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง จนทำให้ชาติต้องเสียอิสรภาพ แต่ในที่สุดพระยาจักรีก็ถูกพระเจ้าบุเรงนองประหารชีวิต เพราะเห็นว่าคนเช่นนี้ เลี้ยงเอาไว้ไม่ได้ เพราะทรยศได้แม้แต่ชาติของตัวเอง
เหตุการณ์รุกรานของทหารเขมรที่เกิดขึ้นบริเวณช่องบก จนทำให้ทหารไทยต้องยิงต่อสู้และทหารพม่าเสียชีวิต เป็นเรื่องให้พ่อลูกตระกูลฮุน ที่ปกครองเขมรมานานกว่า ๓๐ ปี ยกฐานะตัวเองเทียบเท่ากษัตริย์ กระทำการทุจริตโกงกิน รวมทั้งเชื่อมโยงกับเครือข่ายอาชีพที่ไม่สุจริตหลายด้าน แม้แต่บ่อนการพนัน จนร่ำรวยมหาศาล ในขณะที่ประชาชนเขมรยากจนลงเรื่อยๆ มีชาวเขมรจำนวนถึง ๕ แสนคน ต้องออกมาหางานทำในเมืองไทย ทำให้ประชาชนบางส่วนเริ่มมีปฏิกิริยาต่อต้าน จึงพยายามที่จะหาเรื่องกับประเทศไทย โดยคาดหวังว่าจะทำให้ประชาชนเขมรเกิดความรักชาติ และหันมาศรัทธาตระกูลฮุนพ่อลูกคู่นี้ ด้วยการ ส่งทหาร เข้ามารุกรานบริเวณชายแดนไทย รวมทั้งยื่นเรื่องฟ้องต่อศาลโลก ที่ประเทศไทยไม่ได้ยอมรับอำนาจของศาลโลกตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๕๐๓แล้ว เพื่อเรียกร้องเอาปราสาท ๓ หลัง คือปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย ที่อยู่ในเขตประเทศไทย และไทยได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติมาตั้งแต่ปีพ.ศ.๒๔๗๘ ก่อนที่เขมรจะได้อิสรภาพจากฝรั่งเศส ที่ครอบครองเขมรเป็นประเทศอาณานิคมมาระยะหนึ่ง
โชคดีที่ชาติไทยของเรามีกองทัพที่เข้มแข็ง โดยเฉพาะกองทัพภาคที่ ๒ ที่มีความพร้อมอย่างยิ่ง ในการที่จะปกป้องประเทศในบริเวณดังกล่าว และได้กระทำหน้าที่นั้นจนประชาชนชาวไทยทั้งหลายชื่นชมและให้การสนับสนุนเป็นอย่างมาก
แต่ก็เป็นที่น่าเสียดาย ที่ชาติของเรามีผู้นำที่อ่อนแอ ไม่มีความรู้ความสามารถ ขาดประสบการณ์ในการบริหารบ้านเมืองอย่างสิ้นเชิง รวมทั้งไม่มีวุฒิภาวะ ที่ได้กระทำการบางอย่าง ในการเจรจาความเรื่องนี้กับพ่อตระกูลฮุน เนื่องจากมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดตั้งแต่รุ่นพ่ออดีตนักโทษ ที่เคยช่วยเหลือดูแลเมื่อหนีคดีความออกจากประเทศ จนกลายเป็นบุญคุณที่อาจจะต้องทดแทน
คลิปเนื้อหาของการเจรจานั้น ได้ถูกตั้งใจให้หลุดออกมาให้คนไทยได้รับฟัง ทำให้คนไทยได้ทราบว่า ผู้นำของไทยนั้นคิดอย่างไรกับเหตุการณ์นี้ ที่ผู้นำได้ ทำการเจรจาที่แสดงถึงการโอนอ่อนผ่อนตามพ่อตระกูลฮุน ถึงขนาดที่บอกว่า อยากจะได้อะไรก็บอกมา จะทำให้ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นเพียงเรื่องของการเปิดด่านให้เขมรผ่านเข้าออกตามเวลาที่เคยเป็นอยู่หรือไม่ อาจจะมีเรื่องอื่นมากกว่านั้นด้วยก็ได้ แต่ที่เลวร้ายที่สุดคือการที่บอกว่าแม่ทัพภาคที่ ๒ พลโทบุญสิน พาดกลาง นายทหารผู้กล้าหาญและเข้มแข็ง ผู้มีหน้าที่ปกป้องรักษาแผ่นดินในพื้นที่ดังกล่าว เป็นคนละพวกกับเรา ซึ่งจะแปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากเป็นคนละพวกกับตัวพ่อตระกูลฮุนและผู้นำคนนี้ อันนับเป็นความอัปยศอย่างยิ่ง
คนไทยผู้ใดที่ได้ฟังประโยคดังกล่าว หากยังยอมรับคำพูดของผู้นำคนนี้ ที่พยายามออกมาแก้ตัวได้ ก็ไม่น่าจะเป็นคนไทยที่มีความรักชาติ รวมทั้งศาสน์ กษัตริย์ ตามที่ควรจะต้องปฏิบัติ ในฐานะที่เป็นชาติบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง
และเมื่อถูกจับได้ว่าพูดประโยคดังกล่าวก็ออกมาแถไถว่าเป็นเทคนิคของการเจรจา ซึ่งคนที่จะเชื่อก็น่าจะเป็นคนที่โง่ๆ เท่านั้น แต่ก็มีคนเช่นนั้นจริงๆ คือพวกที่เป็นนักการเมืองใกล้ชิด แม้แต่ระดับรัฐมนตรีทั้งหัวขาวและหัวดำ ถึงขนาดที่ยอมโอบอุ้มผู้นำคนนี้ที่จะให้บริหารบ้านเมืองต่อไป
ยังดีที่พรรคการเมืองร่วมรัฐบาลบางพรรค ไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว และขอลาออกจากการร่วมรัฐบาล แต่สิ่งนี้กลับกลายเป็นช่องทางให้พรรคการเมืองอีกหลายพรรค ที่หิวกระหายต่อตำแหน่งรัฐมนตรี ได้ยอมที่จะสวามิภักดิ์อยู่กับรัฐบาลและผู้นำคนนี้เพื่อบริหารประเทศชาติต่อไป ทั้งๆที่ผลงานการบริหารที่ผ่านมา ทำให้ประเทศชาติตกต่ำอย่างที่สุดแล้วในขณะนี้
ประชาชนชาวไทยจะยอมรับการบริหารบ้านเมือง โดยผู้นำอัปยศได้อีกต่อไปหรือ ถึงเวลาหรือยังที่พวกเราทั้งหลายต้องร่วมแสดงความรักชาติ ร่วมแรงร่วมใจ กระทำการบางอย่างเพื่อให้ผู้นำแบบนี้ ต้องพ้นไปโดยเร็วที่สุด
คอลัมน์วันนี้ เป็นนิทาน ที่ใช้เทคนิค
การเจรจา...ขอโทษ เทคนิคการเล่าเรื่อง
ปิยะ เนตรวิเชียร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี